ผมรู้สึกมีความสุขและขอบคุณมากที่ Singha Magazine มอบโอกาสให้ผมได้มีพื้นที่แบ่งปันเรื่องราวความสุขเล็กๆ ที่เกิดจากปลายปากกากับผู้อ่าน ขอฝากเนื้อฝากตัว และหวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์ หรือให้แง่คิดแก่ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อยนะครับ
ก่อนจะเริ่ม ผมมีคำถามข้อหนึ่ง อยากถามท่านผู้อ่านสักหน่อย ตั้งแต่ท่านเกิดมาบนโลกใบนี้ เคยพบเห็นอุปกรณ์ หรือสิ่งของชิ้นใดที่มีความสามารถส่งต่อความคิด ความรู้สึกของท่านไปถึงผู้รับได้เที่ยงตรงที่สุด (2 years later…. หยอกเล่นนะครับ) เอาเป็นว่าผมขอตอบแทนเลยแล้วกัน สิ่งนั้นก็คือ ดินสอ หรือ ปากกา นั่นเองครับ ความมหัศจรรย์ของสิ่งนี้ คือ แม้จะไม่มีชิปประมวลผลหรือสมองกล AI แต่มันถ่ายทอด ส่งต่อข้อความได้แม่นยำที่สุดในโลก เช่น ในใจ ในสมองของท่านคิดอะไร อยากสื่อออกมาแบบไหน ด้วยอารมณ์เบาบางหรือรุนแรงเพียงใด ปากกาด้ามนี้ไม่มีเกี่ยงงอนสักน้อยนิด ทำหน้าที่อย่างไม่มีปริปากบ่นแม้แต่น้อย
ผมขอยกตัวอย่าง เวลาคุณรู้สึกไม่ดี เช่น เสียใจ ไม่ได้ดั่งใจ หรือ หงุดหงิด น้ำหนักและรูปแบบของลายเส้นที่ปรากฏลงบนเนื้อกระดาษ จะแตกต่างจากตอนที่คุณรู้สึกเบาสบาย จุดนี้เองที่ทำให้ผมหลงใหลในปากกา ดินสอ เอามากๆ เวลาเจอร้านเครื่องเขียนที่ไหนก็จะแวะเข้าไปลอง ดินสอ ปากกา เป็นชีวิตจิตใจ (ผมแอบเห็นบางท่านยิ้มมุมปาก ก็ไม่ว่ากันนะครับ อิอิ…) แล้ว… ผมไปพบความสุขจากเจ้าสิ่งของเล็กๆ นี้ได้ยังไงกัน? ผมจะพาทุกคนย้อนเวลา ยื่นมือมา ก้าวขึ้นไทม์แมชชีนโดราเอม่อน แล้วเดินทางไปกันเล้ยยยย ชะแว้บบบ….
ณ บ้านริมคลองอันแสนสงบเงียบย่านบางกอกน้อย สายลมโชยเอื่อย น้ำใสแจ๋ว มองเห็นกุ้ง ปู ปลา ได้ชัดเจนทีเดียว ณ ที่นั้น มีเด็กน้อย ผมสั้นหยิก ผิวคล้ำ สองแก้มปะแป้งกระดำกระด่าง ยิ้มเห็นฟันทุกซี่ ยืนจับมือคุณแม่อยู่ที่ศาลาริมน้ำรอเรือโดยสารไปโรงเรียน เมื่อเรือแท็กซี่จอดเทียบท่าอย่างชำนาญ
ด.ช. ตั้น ก้าวลงเรือเดินไปที่ที่นั่งประจำ ข้างๆ พี่ผู้ชายผอมสูงหูกางนิดๆ บุคลิกขี้เล่น แกชื่อ โน้ต ตั้งแต่จำความได้ผมก็นั่งข้างแกมาตลอด เพราะทุกเช้าพี่โน้ตจะบรรจงหยิบสมุดเยินๆ เล่มหนึ่งออกจากกระเป๋านักเรียน เป็นสมุดวิเศษที่ทำให้ผมตาวาวเป็นประกายทุกครั้ง เพราะผมจะได้เล่นเกมที่พี่แกวาด ใช่ครับ ทั้งตัวด่านและไอเทมต่างๆ ในเกม วาดเองทั้งหมด ผมจะได้เล่นเกมแนว MMORPG บนกระดาษ ลองนึกถึง Zelda, Fire Emblem หรือ Final Fantasy เวอร์ชั่นวาดมือ (นี่ๆๆ คิดถึงเกม ไม่ต้องคิดถึงอายุผม 555) คือมันสนุกมาก ตั้งแต่นั้น ผมก็เริ่มจำลายเส้นพี่เขามาวาดในสมุดตัวเอง ลากเส้นวาดงูๆ ปลาๆ จากลากเส้นไม่ตรงจนตรง วาดสามไม่เหลี่ยมจนกลายเป็นสามเหลี่ยมสมใจ ฝึกมันเข้าไป จนมันเป็นเกมเปิดให้พี่เขาเล่นบ้าง นี่แหละ เป็นจุดเริ่มที่ทำให้ผมหลงรักลายเส้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
จนกระทั่งถึงช่วงประถมปลาย เป็นช่วงที่ความทรงจำเด่นชัดที่สุด จากเด็กที่ลากเส้นบนกระดาษมั่วไปมั่วมา ได้เห็นลายเส้นลงสีสวยงาม ขยับได้ประหนึ่งมีชีวิต โลดแล่นอยู่บนจอโทรทัศน์ มันได้เกิดขึ้นแล้ว มันทั้งตื่นเต้น โลกมันสดใสไปหมด คือ ช่วงที่อิทธิพลจากการ์ตูนญี่ปุ่นถล่มเมืองไทยฉายตามช่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ขบวนการ 5 สีจูเรนเจอร์ มดแดง มดเอ๊กซ์ เซ็นต์เซย่า ดราก้อนบอล อุลตร้าแมน กันดั้ม ฯลฯ ไหนจะบรรดาตัวการ์ตูนจากเครื่องเกม FR102 ไม่ว่าจะเป็น Mario, Contra, Rockman ฯลฯ ตอนนั้นวาดลายเส้นง่ายๆ ออกมาเป็นตัวการ์ตูนได้หลายตัวแล้ว
เส้นทางการวาดการ์ตูนยังดำเนินต่อไปจน ม.1 ไม่รู้อีท่าไหนไปโผล่จังหวัดชลบุรี ใกล้ๆ ห้างโรบินสัน ศรีราชา ด.ช. ตั้น เริ่มชั้นม.1 เพิ่งเคยเจอเพื่อนร่วมตึกนอนเป็นร้อยก็ครั้งนี้แหละ ติดเพื่อน ชอบทำกิจกรรม และเปิดโลกการวาดรูปไปพร้อมๆ กัน ชีวิตตอนนั้น ตั้งตารอว่าเมื่อไหร่จะได้เรียนคาบศิลปะ ได้สัมผัสกระดาษปรู๊ฟ ได้จับดินสอ 2B, 4B, 6B และแท่งคาร์บอน ได้ใช้นิ้วบรรจงเกลี่ยสีดำที่เข้มให้เป็นสีดำอ่อนและเทา ฝึกวาดแสงและเงา สนุก และดำดิ่งไปกับการวาด และเป็นช่วงที่เริ่มรู้จักว่าความสุขจากการวาดรูปมันเป็นยังไง ขอยกความดีความชอบให้กับมาสเตอร์สถาพร ที่ทำให้ผมชอบวาดชอบเขียนและได้ฝึกมันอย่างต่อเนื่อง (มาสเตอร์สถาพรแกจะสูงประมาณ 160 cm ตัวคล้ำๆ รูปร่างหน้าตาแกจะคล้ายๆ พี่เพียว the voice โดยเฉพาะทรงผม 555)
จบ เผลอแว้บเดียว ขึ้นชั้น ม.2 ผมกับเพื่อนๆ ย้ายมานอนตึกใหม่ ที่รวมพี่ๆ ม.3 ทำให้ได้รู้จักพี่ๆ เซียนวาดการ์ตูน แกชื่อ พี่อาจศึก กับ พี่ฮ้ง หลังกินข้าวเย็นเสร็จ ผมจะวิ่งมานั่งดูพี่ทั้งสองวาดการ์ตูน ไม่รู้ว่าแกกิน Slam Dunk หรือ โคนัน เข้าไปหรือเปล่า คือ วาดแบบโค-ตะ-ระ เหมือน ได้แรงบันดาลใจจากพี่ๆ เค้า เราก็พยายามวาดแต่มันก็ไม่ดีกว่าเดิมเท่าไหร่ จนตอน ม.ปลาย ซึ่งเริ่มมีสาวๆ เรียนรวมด้วยกัน ทำให้นายตั้นรู้สึกอยากเท่ อยากให้สาวกรี๊ด สิ่งที่จะดึงดูดความสนใจของเธอๆ ก็คือการเล่นดนตรีเป็น และวาดรูปสวย ผมก็เลยอยากเก่งทั้ง 2 อย่าง เผื่อผมจะได้มีแฟนซักคน (แต่แห้ว.. 5555555 >_<)
ในช่วงม.ปลาย ได้เรียนวิชาศิลปะ โดยพี่เพียว เอ้ย ขอโทดคร้าบ มาสเตอร์สถาพร เจ้าเก่า สอนพื้นฐานการวาดรูปสถาปัตย์ สไตล์การวาดรูปเริ่มเปลี่ยนไป ชอบวาดภาพเชิงโครงสร้างอาคาร หรือสถาปัตย์มากขึ้น และได้รู้จักกับภาพเปอ (Perspective) มันเป็นอะไรที่ว้าวมากๆ เส้นหลักไม่กี่เส้น แต่มีอิทธิพลกำหนดความสูงต่ำของอาคาร และแนวนำสายตาของภาพมันสุดยอดจริงๆ อ้อ ลืมบอกไปว่า อีกคนนึงที่ทำให้ผมชอบอาชีพสถาปัตย์ คือ น้าช้าง แกเป็นสถาปนิก ทำงานที่บริษัทเจ้าดัง เป็นเพื่อนกับน้าชาย แกมาพักที่บ้านริมน้ำช่วงหนึ่งเพื่อทำงานโปรเจกต์เขียนแบบจัดสวนอะไรซักอย่าง ผมจึงได้รู้จักกับโต๊ะเขียนแบบ กระดาษไข ดินสอสเต็ดเลอร์สีฟ้าน้ำเงินไส้ยาว ดินสอล็อตติ้ง และปากกาสีโยเคน และที่ขาดไม่ได้คือ ลายมือของน้าช้างมันน่าอ่านมากๆ น่าหลงใหลเป็นที่สุด
ผสมผสานกันทั้งหมดทั้งมวล เป็นข้อสรุปที่ผมไปบอกกับครูแนะแนวว่า ผมจะเอ็นสถาปัตย์
ความฝันใกล้เป็นจริงตอนม.6 ที่โรงเรียนจะจัดโปรแกรมช่วงบ่ายให้ติวกันโดยมีมาสเตอร์ที่เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ จริงๆ ก็คล้ายตารางเรียนแหละ แต่มันส์กว่าเดิมตรงที่มีแต่คนที่สนใจสาขาเดียวกันมาเรียนด้วยกัน คาบสถาปัตย์ สำหรับเด็กม.6 เตรียมเอ็น คือการได้เรียนพื้นฐานสถาปัตย์ทั้งหมดอีกครั้ง และทำโจทย์เตรียมสอบทั้งข้อเขียนและปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นการฝึกลากเส้น ตั้งแต่จุดเริ่มถึงจุดสิ้นสุด โดยลงน้ำหนัก ต้น กลาง ปลาย ที่ต่างกัน การเริ่มวาดภาพตีฟ จุดเดียว (คล้ายๆ ภาพที่นกมองลงมาจากท้องฟ้า) แล้วขยับไปวาด ภาพตีฟ 2 จุด รวมไปถึงการวาดสิ่งก่อสร้าง ต้นไม้ รถ คน ให้สอดคล้องกับเส้นตีฟ และที่ลืมไม่ได้ ผมได้ฝึกคัดลายมือแบบน้าช้างก็ตอนนี้แหละ 555 รอมานาน
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดที่ผมจะเอ็นไม่ติดสถาปัตย์ ณ ตอนนั้น แต่ผมก็ยังใช้ทักษะการลากเส้นของผมกับงานอดิเรกที่ไปเจอเข้าโดยบังเอิญ ช่วงนั้นเฟสบุ๊คเพิ่งเข้าไทยใหม่ๆ ผมจำได้แม่นเลย ตอนนั้นเป็นโฆษณาการ Rebranding เครื่องสำอางเจ้าเก่าแก่เจ้าหนึ่ง บทสัมภาษณ์แกน่าสนใจเลยเข้าไปดู Mission to the moon FB Page แล้วจดสรุปตามสไตล์ของตัวเอง เราก็ลากเส้น วาดรูป สัพเพเหระของเราไปเรื่อย พอเอาไปโพสต์ ปรากฏว่า กระแสดีเว้ย เป็นสิ่งแปลกใหม่ที่คนชอบ ก็เลยหาทำมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นเส้นทางที่ได้นำสกิลที่มีมาต่อยอดรวมกับการจดสรุป ตามภาพที่เห็นครับ
สุดท้ายนี้ ขอนำบทความจาก facebook page ที่ชื่อ Artipania ซึ่งได้บอกเล่าเสน่ห์ของการเขียนลงบนกระดาษ มันช่างสอดคล้องกับความรู้สึกของผมซะเหลือเกิน
การเขียน… ดีอย่างไร
เมื่อเรามีทั้งแท็บเล็ต สมาร์ทโฟน อุปกรณ์สื่อสารพกพาต่างๆ มากมายที่เอาไว้ช่วยเราจดบันทึกไอเดีย แล้วอย่างนี้การเขียน…ยังจะสำคัญอยู่แค่ไหนกันนะ?
แต่ในด้านการเขียนเชิงสร้างสรรค์ การทำรายการสิ่งของที่ต้องซื้อหรือทำ การบันทึกที่มาที่ไปของแรงบันดาลใจ เขียนแผนธุรกิจ หรือวางแผนท่องเที่ยว การเขียนบนกระดาษจะทำให้มีประสิทธิภาพและรู้สึกดีมากกว่าใช้เทคโนโลยี เพราะว่า:
การเขียนทำให้เราซึมซับข้อมูลได้รวดเร็วกว่า ส่งผลในระยะยาวต่อการพัฒนาทักษะการรับรู้และเข้าใจข่าวสารข้อมูล และทักษะนี้จะช่วยให้มีแนวโน้มที่จะเกิดไอเดียใหม่ๆ ได้ง่าย
1. การเขียนทำให้เรามีสมาธิและมุ่งมั่นต่อสิ่งตรงหน้าได้มากกว่าการใช้เทคโนโลยี
2. การเขียนทำให้กระตุ้นระบบวงจรในสมองส่วนที่พัฒนาการคิด ซึ่งการพิมพ์ทำไม่ได้
3. การเขียนทำให้ช่วยเข้าใจถึงสิ่งที่สำคัญต่อชีวิตเราได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะการเขียนบันทึกต่างๆ
4. การเขียนช่วยพัฒนาความสัมพันธ์ ตั้งแต่ที่ผู้เขียนต้องลงมือเขียน และผู้รับได้รับสารนั้นด้วยลายมือ ไม่ว่าจะเป็นการ์ดวันเกิด หรือจดหมายก็ตาม
5. การเขียนเป็นเครื่องมือที่มีคุณค่ามาก ลองหาเวลาสักนิดในหนึ่งสัปดาห์ ลงมือเขียนอะไรบางอย่าง แล้วลองสังเกตผลของมันดูนะ
ไม่ว่าเส้นทางความสุขของคุณจะเป็นอะไร แค่คุณไม่ปฏิเสธมัน ไม่ตั้งเงื่อนไขกับมัน คุณก็มีความสุขแล้ว
ขอขอบคุณคุณนิว KM ที่มอบโอกาสให้ได้ทำสิ่งที่ไม่เคยทำ ชอบมากครับ ลายเส้นความสุขของผู้อ่านเป็นอย่างไร นัดดื่มเบียร์กันได้ที่ เดอะคลับ นะครับ