“แก ทำไมแกไม่ทำ YouTube” เพื่อนคนหนึ่งชื่อพี่แบงค์ ถามหยาดระหว่างกำลังทานมื้อเย็นด้วยกันที่ร้านอาหารของนาง หยาดก็ตอบไปว่า “ทำไม่เป็น ไม่รู้จะเริ่มยังไง” นางก็บอกว่า “แกทำได้ เชื่อฉันสิ” หลังจากบทสนทนาในวันนั้น หยาดก็กลับมาใช้ชีวิตตามปกติที่เชียงใหม่
จริงๆ แล้วหยาดเป็นคนอีสาน เกิดที่จังหวัดหนองบัวลำภู แต่หลายคนจะเข้าใจว่าเป็นคนเชียงใหม่ เพราะเรียนปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นเกือบ 10 ปี และในปี 2561 เพื่อนๆ เชียร์ให้ได้ลงประกวดนางงามครั้งแรกในชีวิต ในวัย 27 ปี บนเวที “นางสาวเชียงใหม่ในดวงใจ” ทำให้ทุกคนได้รู้จักหยาดมากขึ้น จนถึงทุกวันนี้ หลายคนยังประทับใจกับวลีเด็ดที่หยาดพูดบนเวทีการประกวดว่า “คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะไม่เกิดก็ไม่ได้” ตอนนั้น หยาดทำร้านสายสะพาย จริงๆ ที่ยอมลงประกวดนางงามกะว่าจะไปโปรโมตร้าน แต่พอขึ้นไปบนเวทีจริงๆ ตื่นเต้นจนลืมไปหมดเลย 5555 จนมาถึงช่วงโควิดที่ต้องหยุดงานเพราะไม่มีกิจกรรมการประกวดหรืออีเวนต์ใดๆ ที่ต้องใช้สายสะพาย นั่งอยู่บ้านเฉยๆเป็นเวลา 2-3 เดือน ช่วงแรกก็กลัวเรื่องโควิด ไม่กล้าออกไปข้างนอก แต่ช่วงหลังกลายเป็นเบื่อมากกว่า เพราะเราชอบทำงาน การที่ไม่มีอะไรให้ทำเป็นอะไรที่เบื่อสุดๆ
อยู่ดีๆ วันนึง YouTube ก็แจ้งเตือนเข้ามาในโทรศัพท์ว่า “คุณมีผู้ติดตามครบ 1,000 subscribers สามารถถ่ายทอดสดพูดคุยกับผู้ติดตามได้แล้ว” ตอนนั้นก็ยังงงว่ามันคืออะไร มีอยู่คืนนึงเกิดหิวขึ้นมาช่วงดึก เลยชวนเพื่อนทำอาหารกินกัน เพื่อนก็บอกว่า “ถ้าหล่อนเบื่อมาก ก็กินไป ไลฟ์ไป จะได้มีคนคุยด้วย” คืนนั้นไม่รู้อะไรดลใจเลยลองเปิดไลฟ์ ตั้งชื่อคลิปง่ายๆ ว่า “ดึกดื่นตื่นมากิน” ไลฟ์ไปประมาณ 20 นาที มีคนเข้ามาดู 200-300 คน เราก็ตกใจว่าพวกเค้ามาจากไหน เป็นคนจริงๆ รึป่าว 5555 แต่ก็กินไป เมาท์ไปจนเริ่มง่วงนอนตื่นเช้ามาก็มีคนทักมาหลายคนว่าอยากให้ไลฟ์อีก เราก็ทำไปเรื่อยๆ เกือบทุกวันประมาณ 1 เดือน พอกินไม่ไหวก็เริ่มเปลี่ยนเป็นรับสายหน้าไมค์ มีทั้งพูดคุย เมาท์มอย ปรึกษาปัญหาชีวิต มีทั้งร้องเพลงอย่างสนุกสนาน ช่วงนั้นเป็นช่วงที่โควิดมาแรกๆ คนส่วนใหญ่ก็ทำงานที่บ้าน เลยว่างเข้ามาดูไลฟ์กันเยอะเลย
มีอยู่วันนึงหยาดกับพี่สไปรท์ บะบะบิไปถ่าย Vlog กันบนดอย หลังจากเสร็จงาน ไม่มีอะไรทำ เลยไลฟ์ร้องเพลงเล่นๆ กับแฟนๆ มีหนึ่งสายโทรเข้ามาร้องเพลง “ว่างแล้วช่วยโทรกลับ” ของพี่ลิเดีย ซึ่งเป็นเพลงที่หยาดชอบมากๆเลยมีการร้องโต้ตอบกันในสาย หลังจากนั้นก็มีแฟนๆที่ได้รับชมไลฟ์ตัดต่อวิดีโอช่วงนั้นไปลงในโซเชียลมีเดียต่างๆ เกิดเป็นไวรัลขึ้นมา เลยทำให้มีคนรู้จักหยาดเพิ่มมากขึ้น มีคนทักเข้ามาขอให้ทำเพลงนี้แบบเต็มเพลง ในหัวตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรมากเลยคิดแค่ว่าอยากทำตามคำเรียกร้องที่แฟนๆ ที่ขอมาติดต่อเพื่อนที่เป็นนักดนตรีให้ทำดนตรีเพลงนี้ขึ้นมา แล้วก็อัดเสียงกันที่เชียงใหม่ ครั้งนั้นน่าจะเป็นครั้งแรกๆที่หยาดได้ร้องเพลงในห้องอัด เลยขอพี่เค้าลองร้องกับดนตรีซักหนึ่งรอบ พี่คนที่อัดเสียงบอกว่า “เอาแบบนี้เลยไม่ต้องอัดใหม่แล้ว” พี่เค้าชอบ มันเป็นการอัดเพลงที่สนุกมาก เพราะว่าเราไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาเยอะ เลยไม่เครียด และทุกๆ คำพูดที่เพิ่มเติมเข้าไปในเนื้อเพลง มันคือฟีลของช่วงนั้นที่กำลังอัดเพลงและมันเป็นคำที่เราเล่นกันกับเพื่อนๆ อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น “ซักหนึ่ง, ซะหน่อย, ว่าไป, ว่าซั่น, อะหรือ…”
หลังจากได้เพลงมาก็ให้เพื่อนมาช่วยถ่าย MV คิด Storyboard เองเล่นๆ ให้เข้ากับเพลง ขอใช้คอนโดเพื่อนถ่ายทำ และขอให้เพื่อนที่เป็นแดนเซอร์มาช่วยสร้างสีสันใน MV เราทำทุกอย่างเองด้วยความสนุกสนาน พอ MV เสร็จ ก็พร้อมโพสต์ให้ทุกคนได้ชื่นชมกับผลงานชิ้นโบว์แดง ถ้าจำไม่ผิดวันนั้นคือวันที่ 12 กรกฎาคม 2563 คืนนั้นนั่งอยู่กับเพื่อนที่บ้านประมาณ 3 คน ก่อนกดโพสต์ยังหันไปถามเพื่อนอีกรอบว่า “โพสต์ดีมั้ย?” ด้วยความไม่มั่นใจของเรา เพื่อนทุกคนพูดว่า “โพสต์เลย!!! ปังขนาด จะรออะไร” หลังจากโพสต์ MV ไปประมาณ 1 ชม.ก็มีคนแชร์และแท็กมาในช่องทางต่างๆ เยอะมาก และผ่านไป 2-3 วัน ยอดวิวใน YouTube ก็ทะลุไปหลักล้านวิว จนเราเองก็ตกใจ เริ่มมีคนและรายการต่างๆ ติดต่อเข้ามาเพื่อขอสัมภาษณ์ และที่ประทับใจที่สุด คือ พี่ลิเดีย เจ้าของเพลงต้นฉบับ โทรมาหาด้วยตัวเอง บอกว่าชอบ version ที่เราทำมาก อยาก Cover ด้วยกันอีกรอบ เกิดเป็นมิติใหม่ในวงการ Cover รวมถึงมีหลายเพจดังที่ Recap, Reaction และวิเคราะห์ความหมายของแต่ละซีนใน MV เรานั่งอ่านทุกคอมเมนต์ ทุกการชื่นชมที่ทุกคนมอบให้ด้วยความภูมิใจ ตัดภาพไปที่พี่แบงค์โทรมาแล้วพูดว่า “คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะไม่เกิดก็ไม่ได้จริงๆ ปังมากลูกสาวแม่ หล่อนทำได้แล้ว”
จนถึงวันนี้คือปี 2565 ก็เป็นเวลาสองปีกว่าๆ หลังจากปล่อยเพลง “ว่างแล้วช่วยโทรกลับ เวอร์ชั่นหยาดพิรุณ” ตลอดสองปีที่ผ่านมา หยาดได้รับโอกาสจากผู้ใหญ่และผู้สนับสนุนมากมาย เป็นโอกาสที่เราไม่มีวันลืมเลยและเป็นสองปีที่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ เยอะมากในสายงานของการผลิตคอนเทนต์รวมถึงงานในวงการบันเทิง หลายครั้งมีคนถามเราว่าเราทำอาชีพอะไร ก็ทำให้เรานั่งคิดอยู่เหมือนกัน เพราะจริงๆ แล้วอาชีพที่ทำอยู่ คือ เป็นทั้งนักร้อง นักแสดง พิธีกร Influencer YouTuber Content Creator และเป็นทั้งเจ้าของบริษัทผลิตคอนเทนต์อีกด้วย ซึ่งหลังๆ เริ่มรู้สึกว่าใครจะเรียกว่าเราเป็นอะไรก็ได้เหมือนกันเพราะเราทำทุกอย่างจริงๆ และเราถือคติ “ไม่เลือกงาน ไม่ยากจน” 5555
แต่ในทุกๆ ปีก็จะมีการคิดกับตัวเองว่าเราชอบทำอะไรมากที่สุด เพราะในช่วงแรกก็เกิดความสับสนอยู่พอสมควร จนวันนึงนั่งคุยกับเพื่อนที่เป็นนักเขียนชื่อดัง ชื่อย่อ “ช่า บทขต.” ชื่อเต็ม “ช่า บันทึกของตุ๊ด” ว่าสรุปแล้วเราอยากเป็นอะไร อยากทำอะไร ระหว่างงานที่เราอยากทำแต่ลูกค้าไม่ค่อยจ้าง กับงานที่ลูกค้าชอบจ้างแต่เราไม่ค่อยอยากทำ แล้วทำยังไงถึงจะให้ลูกค้าจ้างงานที่เราอยากทำด้วย จนได้คำตอบว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในสายอาชีพของเรา คือ การสร้างภาพจำ ย้อนกลับไปที่เพลงว่างแล้วช่วยโทรกลับ ถ้าถามว่าทำไมเพลงนี้ถึงประสบความสำเร็จ ก็มีเหตุผลอยู่หลายข้อ แล้วทำยังไงถึงจะทำคอนเทนต์แล้วประสบความสำเร็จและโดนใจผู้ชมได้แบบนี้ หยาดเลยลองรวบรวมปัจจัยที่สำคัญไว้เป็นข้อๆ ตามนี้ เผื่อจะเป็นประโยชน์กับใครที่อยากทำอาชีพคล้ายๆ กันหรือคนอื่นๆ จะได้เข้าใจสายงานนี้มากขึ้น
1 การเห็นโอกาสแล้วไม่ปล่อยทิ้งไป
ยกตัวอย่างเช่น การที่มีคนเรียกร้องให้ทำ MV แล้วหยาดก็ทำตามเสียงเรียกร้องนั้น
2 ความเร็วแสงสำคัญมาก เพราะในโลกออนไลน์มีคอนเทนต์ใหม่ๆ เกิดขึ้นทุกวัน
ถ้าเรามัวแต่รีรอให้พร้อม อาจจะไม่มีใครรอชมแล้ว หรืออาจจะมีคนทำก่อนจนกลายเป็น First Mover พอเราทำทีหลัง เราเลยจะกลายเป็นแค่ผู้ตาม
3 การใส่ความเป็นตัวเองลงไปในผลงาน
เพราะทุกคนมีความพิเศษในตัวเอง แค่หาให้เจอ และถ่ายทอดออกมาให้ได้ หยาดไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนที่ร้องเพลงเพราะที่สุด แค่รู้วิธีการถ่ายทอดในแบบของตัวเอง และรู้ว่าจะทำยังไงให้ผู้ฟังสนใจ
4 การหาทีมงานที่มีคุณภาพมาซัพพอร์ต
เพราะเราไม่สามารถทำเองคนเดียวได้ทั้งหมดและบางครั้ง การให้ผู้เชี่ยวชาญหรือคนที่ถนัดมากกว่าทำให้ เราจะประหยัดเวลาและได้ชิ้นงานที่มีคุณภาพมากขึ้น
5 การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ
ด้วยความที่เทคโนโลยีและแพลตฟอร์มต่างๆ มีการอัพเดตอย่างรวดเร็ว รวมถึงเทรนด์ต่างๆ ของผู้ชมก็เช่นกัน การปรับตัวให้ทันกระแสจึงสำคัญมากๆ
6 อย่ากลัวและคิดว่าเราทำไม่ได้เพราะเราไม่ถนัด
บอกเลยว่าไม่มีใครเก่งมาแต่เกิด ทุกอย่างอยู่ที่ทัศนคติและการฝึกฝน เมื่อก่อนหยาดคิดว่าตัวเองเป็นคนที่ร้องเพลงไม่เพราะ เลยไม่ค่อยร้องเพลง แต่ทุกคนสังเกตไหมว่า นักร้องที่ถูกเชิญไปร้องเพลงบ่อยที่สุด อาจจะไม่ใช่นักร้องที่ร้องเพลงเพราะที่สุด แต่เป็นนักร้องที่ตรงตาม concept ของงาน เช่น สามารถเอ็นเตอร์เทนคนดูได้มากกว่าเสียงร้องที่ไพเราะ
7 การรักษามาตรฐานและพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ
ถ้าเคยได้ยินคนพูดว่าการเป็นแชมป์ว่ายากแล้ว การรักษาแชมป์นั้นยากกว่า ในวงการนี้ก็ไม่ต่างกัน การที่เราก้าวเข้ามาในจุดที่คนรู้จัก ไม่ว่าจะด้วยความสามารถหรือโชคชะตาอะไรก็ตาม นั่นไม่ได้หมายความว่าเราประสบความสำเร็จแล้ว แต่มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของสายอาชีพนี้เท่านั้น ถ้าเราไม่พัฒนาตัวเองเลย เราก็จะอยู่ที่จุดเดิม เมื่อวันเวลาผ่านไปเราก็จะล้าหลังโดยที่ไม่รู้ตัว
8 การสานสัมพันธ์กับผู้ที่เกี่ยวข้องกับสายงาน
หรือมิตรภาพรอบๆ ตัว วงการออนไลน์หรือวงการบันเทิงมีผู้คนรายล้อมและเกี่ยวข้องมากมาย ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถผลิตผลงานได้ด้วยตัวเองคนเดียว ฉะนั้นผู้ที่เกี่ยวข้องจึงมีส่วนสำคัญ การสานสัมพันธ์กับคนรอบข้างอาจจะไม่ได้ทำให้ผลงานชิ้นนั้นเป็นผลงานที่ดีที่สุดอย่างเดียว แต่มันจะทำให้การทำงานราบรื่นและระหว่างการทำงานอาจจะทำให้เราสนุกและมีความสุขมากกว่า ยกตัวอย่างเช่น การพบปะสังสรรค์หรือออกงานที่แบรนด์หรือเพื่อนๆ ในวงการจัดขึ้นบ้าง บางคนอาจจะคิดว่า ไม่จำเป็น เพราะเราเจอกันในโลกออนไลน์อยู่แล้ว รู้อยู่แล้วว่าแต่ละคนเป็นยังไง แต่เชื่อเถอะค่ะ ว่าการได้ไปเจอกันแบบ face to face ความสัมพันธ์หลังจากนั้นมันจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
9 การรับฟังและยอมรับ feedback จากผู้ชม
และปรับปรุงไปในทิศทางที่เหมาะสม เชื่อว่าหลายคนเริ่มเปิดช่องหรือทำคอนเทนต์จากสิ่งที่เราถนัดหรือเราชื่นชอบ แต่อย่าลืมว่า engagement หรือยอดวิวทั้งหมดมาจากคนดู การที่เราทำหรือผลิตผลงานเพื่อให้คนดูชื่นชอบจึงสำคัญมากๆ เช่นกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการรับเอาคอมเมนต์หรือฟีดแบคจากผู้ชมมาปรับปรุงเนื้อหาของคอนเทนต์จะต้องอยู่ในจุดที่เหมาะสมไม่ปรับเปลี่ยนหรือเปลี่ยนแปลงจนทำให้เราหลุด concept หรือทำให้เราทำงานไปต่ออย่างไม่มีความสุข เพราะมันจะกลายเป็นผลเสียมากกว่า
10 การคัดกรองข้อมูลให้ดีก่อนเผยแพร่สู่สาธารณะ
เป็นอะไรที่สำคัญมากๆ หลายคนอาจจะเคยได้ยินว่า “โซเชียลทุกวันนี้เร็วและแรงมาก” การเผยแพร่ข้อมูลที่ผิดพลาดหรือไม่เหมาะสม อาจจะทำให้เกิดกระแสดราม่า หรือแย่ที่สุด คือ เราไม่สามารถทำอาชีพนี้ต่อไปได้เลย เพราะสังคมไม่ยอมรับ
และสุดท้ายหยาดขอเป็นกำลังให้กับทุกคนที่อยากก้าวเข้ามาในสายอาชีพนี้ มันไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ แต่ขอให้เชื่อมั่นในตัวเอง พยายามฝึกฝน อย่าท้อใจ แล้วซักวันจะเป็นวันของเรา เพราะ “คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะไม่เกิดก็ไม่ได้”