คนดังคู่ซี้ กับแรงใจการทำงานจากยุค 90s ถึงยุค 5G

0

สำหรับวัยรุ่นยุค 90s คงไม่มีใครไม่โตมากับคลื่นวิทยุ หลายคนส่ง sms ไปขอเพลงหรือพูดคุยกับดีเจ หรือโทรไปเล่นเกมออกอากาศสดหน้าไมค์เพื่อแลกบัตรคอนเสิร์ต ยุคนั้น รายการวิทยุเป็นสื่อที่เข้าถึงทุกคนอย่างแท้จริง ดีเจหรือนักจัดรายการวิทยุก็เป็นอาชีพที่วัยรุ่นใฝ่ฝัน จากวันนั้นถึงวันนี้ ยุคสมัยเปลี่ยนผ่านสู่การจัดรายการออนไลน์ แต่ดีเจที่โด่งดังมาตั้งแต่ยุค 90s หลายคนไม่ได้หายไปไหน ยังคงโลดแล่นมีชื่อเสียงในวงการบันเทิง น่าสนใจว่าพวกเขามีวิธีปรับตัวในอุตสาหกรรมนี้กันอย่างไร?

คอลัมน์ “รู้ดี” ขอนำเสนอคำตอบ ผ่านมุมมองของอดีตดีเจสองท่านที่ประสบความสำเร็จจากการจัดรายการวิทยุในอดีต ทั้งคู่เคยจัดรายการทอล์คแห่งยุคอย่าง “ไก่คุ้ยตุ่ยเขี่ย”แน่นอน เมื่อพูดถึงรายการนี้ เราจะหมายถึงใครอื่นไปไม่ได้นอกจาก “อาไก่” คุณสมพล ปิยะพงศ์สิริ และ “อาตุ่ย” คุณตุ๊ยตุ่ย พุทธชาด พงศ์สุชาติ แม้ทุกวันนี้อาทั้งสองจะไม่ได้เป็นนักจัดรายการวิทยุแล้ว แต่ยังเป็นผู้ดำเนินรายการในสื่อต่างๆ ให้เห็นหน้าค่าตากันอยู่บ่อยๆ เรียกได้ว่าเป็นรุ่นเก๋ามากฝีมือที่สามารถปรับการทำงานให้เข้ากับจังหวะของชีวิต

ในยุค 90s “ดีเจ” เป็นอาชีพที่วัยรุ่นใฝ่ฝัน แล้วอาทั้งสองอยากเป็นดีเจตั้งแต่วัยรุ่นเลยไหม?
อาไก่: ถ้าพูดถึงเรื่องที่อยากเป็นดีเจของเรานะ ตอนเด็กๆ เราไม่รู้เรื่องหรอก จนขึ้นม.3 คุณครูให้หาอาชีพที่ตัวเองอยากเป็น เราก็ไปเจอภาพถ่ายในนิตยสารแพรว แล้วเห็นพี่เอก (ธเนศ วรากุลนุเคราะห์) ซึ่งตอนนั้นเขาเป็นนักร้องและดีเจชื่อดังมาก เป็นรูปเขาอยู่ในห้องจัดรายการวิทยุ เราก็รู้สึกว่า นี่คืออะไร ทำไมเท่จัง มีหูฟังครอบหู มีไมค์ มีตัวคอนโทรล ตอนนั้นเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับเรา ทำให้เราเริ่มอยากรู้ว่าดีเจคืออะไร เป็นจุดเริ่มต้นของการอยากเป็นดีเจ จากนั้นพอได้มาเรียนนิเทศจุฬาฯ เราก็ชัดเจนเลยว่า เราอยากจะเป็นดีเจ

อาตุ่ย: อาเป็นคนที่ไม่มีความชอบของตัวเอง เป็นคนไหลไปตามกระแส ตอนเด็กอาฝันอยากเป็นหลายอย่างมาก ตั้งแต่นางสาวไทย คุณนายผู้ว่าฯ ดีเจ หมอ สมัยเรียนอาเคยสอบเข้าคณะแพทย์ แต่พอสอบได้ อาก็แบบ โอ้โห ต้องรับผิดชอบชีวิตคน แล้วเราอะ เราที่ไม่ไปสอบไฟนอล เลือกนอน ยอมตก แล้วถ้าเราเป็นหมอ เจอคนไข้ เราจะนอนได้มั้ยเลยรู้สึกว่า เป็นหมอ ไม่ใช่แค่เก่งอย่างเดียว เราเลยเลิกล้ม และหาอะไรที่ใช่ตัวเรามากขึ้น อาก็ได้รับการชักชวนจากรุ่นพี่ให้มาเรียนนิเทศจุฬาฯ

อาตุ่ยเลือกในสิ่งที่เหมาะกับตัวเอง ส่วนอาไก่เลือกที่จะไล่ตามความฝันในวัยเด็ก
อาตุ่ย: ตอนเรียน อาเป็นสายเล่น หนักไม่เอา เบาไม่สู้ (ฮ่าฮ่า) ดีเจเราก็อยากเป็นนะ แต่สาขาที่เรียนเพื่อที่จะเป็นดีเจคือบรอดแคสต์ติ้ง หรือวิทยุโทรทัศน์ ซึ่งเรียนหนักมากๆ อาก็เลยขอบาย ไม่เลือกเรียนสาขานี้ แล้วไปเลือกสาขาที่ตัวเราน่าจะเรียนแล้วรอดที่สุด คือ วาทวิทยาและสื่อสารการแสดง ซึ่งเป็นศาสตร์เกี่ยวกับSpeech หรือการพูด พอเรียนแล้ว ตัวตนของเรา กลายเป็นเราที่พูดรู้เรื่องขึ้น มีไดนามิกเสียง เน้นน้ำหนักเสียงเป็น

อาไก่: ตัดมาที่เรา ที่เล่าว่าอยากเป็นดีเจมาก แต่ตอนแรกเราก็ไม่ได้เลือกเรียนบรอดแคสต์ติ้งนะ เราเลือกเรียนฟิล์ม (ภาพยนตร์) เพราะว่าตอนนั้นเราเป็นเด็กกิจกรรม รับงานนอก ถ้าเรียนฟิล์มก็ไม่ต้องเข้าเรียนเยอะ แค่มาส่งงาน แต่พอเรียนไปได้หนึ่งอาทิตย์เราก็มาทบทวนตัวเองว่า ที่เรามาเรียนนิเทศ เราต้องการอะไร เราต้องการเป็นดีเจ เราเลยรู้สึกว่า มันไม่ใช่แล้ว เราจะมาหวังเงินเล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้ ต้องมองว่า จริงๆ เราอยากทำอะไรในชีวิตนี้ ก็เลยไปขออาจารย์ที่ปรึกษาว่าขอเปลี่ยนภาควิชาที่เรียนมาสายบรอดแคสต์ติ้ง ทำให้เราได้มาในสายที่เราอยากเป็นจริงๆ

เปิดเส้นทางวงการบันเทิงของอาไก่และอาตุ่ย
อาไก่: เราเริ่มเป็นดีเจตั้งแต่ตอนเรียนมหา’ลัยปี 3 เป็นช่วงฝึกงานที่ได้จัดรายการวิทยุทุกแนวเลย จัดทุกวัน สนุกมากๆ พอเรียนจบ เราก็เอาเทปไปสมัครตามคลื่นวิทยุ แรกๆ เขาไม่รับเลย เพราะงงว่า เราเป็นดีเจอะไรของเราเนี่ยเพราะยุคนั้นส่วนใหญ่ดีเจจะมาแนวสุภาพเรียบร้อย ใช้คำเป็นทางการ แต่สไตล์ของเราแหวกเลย คือจะเฮฮา โหวกเหวก จนตอนหลังที่เราได้เป็นดีเจแล้ว จะมีคำนึงที่คนเขาเรียกสไตล์ของเราว่า “วิถีสมพล” หมายความว่า หัวเราะเสียงดัง ต่อปากต่อคำกับคนฟัง แล้วก็เล่นเกม แซวกัน อำกันขำๆ จนในปี 2535 เกิดคลื่นฮอตเวฟ ป๋าเต็ด (ยุทธนา บุญอ้อม) ได้มาชวนให้เราลองทำเทปดีเจส่งฮอตเวฟ สุดท้ายเรามาได้งานที่ฮอตเวฟ เพราะคาแรคเตอร์ของเราเหมาะกับรายการเขา

อาตุ่ย: แล้วอาไก่ก็โด่งดังจากคลื่นฮอตเวฟ ส่วนอา อย่างที่เล่าว่าอาเรียน Speech อาก็เริ่มทำงานที่ใช้เสียง คือเพื่อนที่เรียนโฆษณา เขาจะต้องทำสปอตวิทยุส่งอาจารย์ อาก็ไปพากย์เสียงให้ แล้วก็ไปลงเสียงงานสารคดีให้เพื่อนๆ พี่ๆ ที่เรียนบรอดแคสต์ติ้ง ซึ่งเขาก็ให้เครดิต announcer ได้แก่ พุทธชาด พงศ์สุชาติ อาจารย์ก็จะได้เห็น เป็น profile ให้อาได้อัดเสียงสปอตวิทยุของแบรนด์ต่างๆ

เรียกได้ว่า อาไก่เป็นดีเจที่ช่วยบุกเบิกรายการวิทยุแนวใหม่ๆ
อาไก่: จุดเริ่มต้นของตัวเองที่จัดรายการวิทยุ ตอนนั้นที่คลื่นเรดิโอโหวต แซทเทิลไลท์ (ปัจจุบันคืออีเอฟเอ็ม) ช่วงห้าโมงเย็นถึงหนึ่งทุ่มไม่มีโฆษณาเลย เพราะรายการยังไม่เป็นที่รู้จัก หนึ่งชั่วโมงมีโฆษณาแค่ตัวเดียว แล้วเราจะพูดอะไรได้ตั้งชั่วโมง เราเลยคิดเกมขึ้นมา สมัยก่อนคนฟังจะแอนตี้เกมในรายการวิทยุ เพราะเขารำคาญ แต่เราก็ต้องคิดอะไรใหม่ๆ เลยคิดเกมชื่อว่า ก๋อย สร้างเรื่องเล่า สร้างคาแรคเตอร์ก๋อยขึ้นมา แล้วให้คุณผู้ฟังทายชื่อเพลงจากเรื่องเล่า ถ้าตอบถูก เรามีของรางวัลแจก ก็ต่อยอดจากการคิดเกมพัฒนาเป็นไปหาของมาขายสร้างรายได้ให้รายการวิทยุ จนรายการเริ่มเป็นที่รู้จัก มีสปอนเซอร์เข้ามา เราก็ดีใจ

จุดเริ่มต้นในมิตรภาพของอาไก่และอาตุ่ย อาทั้งสองมาเป็นดีเจคู่กันได้ยังไง?
อาไก่: ที่รู้จักอาตุ่ยเพราะประทับใจเขา เห็นเขาในทีวี เห็นคนเขาเรียกน้องป๊อป (อาตุ่ยเลียนเสียง ป๊อป-อารียา) เราก็แบบ เห้ย เด็กคนนี้เป็นใครทำไมเก่งจัง ทำเสียงเลียนแบบคนอื่นได้เราก็เลยเริ่มรู้จัก ยิ่งรู้ว่าเป็นรุ่นน้องคณะด้วย สายเลือดเดียวกัน ก็ยิ่งสนิท จากนั้นเราเจอกันในรายการจู๊กบ็อกซ์เกม ตอนนั้นอาตุ่ยเล่นละครเรื่องแรงเงา (เวอร์ชั่น 2544) เราก็ไปชวนอาตุ่ยมาเป็นดีเจ ให้อาตุ่ยทำเดโมไปเสนอ

อาตุ่ย: ซึ่งอาก็ไม่ไป เพราะเป็นคนหนักไม่เอาเบาไม่สู้ (ฮ่าฮ่า) จริงๆ อาได้ข่าวว่าทำเทปดีเจ ยากมาก หินมาก บางคนเป็นเด็กฝึกสามปีกว่าจะได้เป็นดีเจ

อาไก่: เข้าใจได้เลย สมัยนั้น เป็นที่รู้กันว่าน้องคนไหนที่ได้เป็นดีเจในสังกัดเอไทม์เรียกว่าเก่งมาก เช่น วู้ดดี้ เป้-วิศวะ อ้อม-สุนิสา แต่แล้วเวลาก็ผ่านไปจนอาตุ่ยได้มาเป็นดีเจ เหมือนฟ้ากำหนดให้เราได้มาทำรายการไก่คุ้ยตุ่ยเขี่ยด้วยกัน เป็นจุดเริ่มต้นที่อาตุ่ยได้ทำรายการทอล์ค ก่อนหน้านั้นเราก็เคยร่วมงานกัน เป็นพิธีกรคู่กันผ่านรายการทีวีของเอไทม์

อาตุ่ย: สำหรับอา การเป็นดีเจ คือโอกาสที่คนจะได้เห็นในมุมอื่นๆ ของอา แล้วก็อย่างที่อาไก่บอกว่ามันยาก ดังนั้น ถ้าอาได้เป็นดีเจในสังกัดเอไทม์ มันจะดีแค่ไหนนะ อาคิดอย่างนี้ แต่ตอนแรกไม่กล้าเป็น

“ไก่คุ้ยตุ่ยเขี่ย” รายการทอล์ค ที่เป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์
อาไก่: ช่วงนั้นคลื่นวิทยุมีแต่แนว easy listening เน้นเปิดเพลงเยอะ พูดน้อย จนพี่ฉอด (สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา) รู้สึกว่า ควรทำอะไรที่แตกต่าง ก็เลยให้ดีเจมดดำเข้ามาทำรายการแฉแต่เช้า แล้วช่วงกลางคืนก็มีเรากับอาตุ่ย ทำรายการไก่คุ้ยตุ่ยเขี่ย ออกแนวเฮฮา มีดีเจโอปอล์กับดีเจเชาเชาอีกคู่ที่มาเสริมทีมเรา ช่วงนั้นคลื่นวิทยุเริ่มมีรายการทอล์คมากขึ้น รูปแบบรายการไก่คุ้ยฯ ทีมครีเอทีฟเขาจะตั้งประเด็นขึ้น แล้วเราก็จะให้คนส่ง sms แสดงความเห็นกันเข้ามาแล้วมันสนุกตรงที่ผู้ฟังของเราเป็นคนอารมณ์ดี มีใช้นามแฝงล้อเลียนชื่อของคนดังยุคนั้น มีมุกฮาๆ ที่ขนาดเราเลิกรายการมา 10 กว่าปีแล้วคนฟังก็ยังจำได้

รายการไก่คุ้ยฯ ถือเป็นอีกผลงานชิ้นโบแดงของอาทั้งสองในฐานะดีเจ แล้วหลังจากที่ไม่มีรายการนี้ เส้นทางของอาเป็นอย่างไร?
อาตุ่ย: พอวัยเปลี่ยน เป้าหมายเราก็เปลี่ยน ช่วงที่อาเป็นดีเจ อาต้องดูแลรูปลักษณ์ ผิวพรรณอะไรต่างๆ ต้องกินคอลลาเจน อาหารเสริม พอกินแล้วว่ามันดี อาก็อยากกินต่อ และอยากทำให้สิ่งนี้ยังมีอยู่ต่อไป กลายเป็นจุดเริ่มต้นให้อาทำธุรกิจด้านสกินแคร์และอาหารเสริมแบรนด์ Swiss Lab จากที่อาเป็นคนไม่เสาะแสวงหา ไม่เคยคิดเรื่องต้นทุน ค้าขาย เป็นคนรักสบาย อาได้ก้าวข้ามนิสัยหนักไม่เอาเบาไม่สู้ของตัวเองไปศึกษาข้อมูลทางธุรกิจ ซึ่งมันไม่ง่าย เป็นสิ่งใหม่ที่ไม่ใช่ตัวอาเลย แต่อาก็ได้คนรอบตัวช่วยเยอะมาก และมีอาไก่ที่คอยส่งเอเนอร์จี้ให้เราหายเหนื่อย จนอาทำ Swiss Lab มาได้ 13 ปีแล้ว พอธุรกิจอยู่ตัว ก็กลับมาโลดแล่นในวงการบ้าง

อาไก่: หลังจากที่เราไม่ได้จัดรายการไก่คุ้ยฯ ด้วยกันแล้ว เราก็ออกมาเป็นอิสระ ทำงานเป็นพิธีกรจนถึงทุกวันนี้ รายการหลักๆ คือเล่าข่าวที่ช่องจีเอ็มเอ็ม งานดีเจก็หยุดไปเลย แต่เราไม่ได้ทำธุรกิจเป็นเรื่องเป็นราวเหมือนอาตุ่ย ยอมรับเลยว่า ความสุขของเรา พอเรามานั่งทบทวน เราเป็นคนที่ต้องการบาลานซ์ในชีวิต คือมีเงินส่วนหนึ่ง ทำงานส่วนหนึ่งท่องเที่ยวส่วนหนึ่ง เที่ยวต่างประเทศหรือในประเทศก็ได้ นี่คือการบาลานซ์ชีวิตของเรา เพราะตอนที่เป็นดีเจ มันเหนื่อยแล้วก็หนักมาก

ปรัชญาการทำงานในปัจจุบันได้เปลี่ยนไปจากแต่ก่อน?
อาไก่: ตั้งแต่เราเป็นดีเจใหม่ๆ ตลอด 17 ปี เราไม่มีวันหยุดเลย รับงานทุกอย่าง หนัง ละคร อีเวนต์ อยากรู้อยากลองทุกอย่าง แต่เราเหนื่อยมาก ขับรถหลับใน ตบหน้าตัวเองยังจะหลับ พอวันหนึ่งมีกรณีดีเจโจ้ (อัครพล ธนะวิทวิลาศ) เสียชีวิต น้องเคยบอกกับเราว่า เราไม่รู้หรอกนะว่าวันรุ่งขึ้นจะเป็นยังไง เราจะอยู่ เราจะไป เราจะทำงานเพื่อไม่ได้ใช้เหรอ? เราเลยคิดว่า ต้องมีวันหยุดทำงานบ้างเพื่อเป็นการบาลานซ์ชีวิต จนทุกวันนี้เราก็ยังทำงานอยู่ เติมแรงบันดาลใจด้วยการไปเที่ยว แต่ตอนนี้เริ่มอยากอยู่กับบ้านมากขึ้น อยากอยู่ต่างจังหวัด มีคาเฟ่เล็กๆ ของตัวเอง

อาตุ่ย: เราเคยแสวงหาชิ้นงานที่เราจะฝากจารึกไว้บนโลกนี้ แต่พอมาถึงวัยนี้ เราก็ต้องเพิ่มอัตราส่วนในการใช้ชีวิตกับครอบครัว บาลานซ์เราเปลี่ยน ตอนแรกเราต้องล้มลุกคลุกคลานในการสร้างความเชี่ยวชาญ สร้างความมั่นคง มันจึงเหนื่อย พอวันหนึ่ง เราได้ทำงานมามากพอสมควรแล้ว เราจึงต้องการเวลาในการที่จะดื่มด่ำกับคนในครอบครัว

อาตุ่ย: เรื่องนี้อามองอาไก่เป็นต้นแบบนะ อาไก่เขามีแพตเทิร์นที่ดูไม่แก่เลย เขาอยู่กับเด็กตลอดเวลา เป็นขวัญใจวัยรุ่น แล้วเขาก็ยังดำรงอยู่เป็นสิบๆ ปี เขาจะรู้ว่าคนสมัยใหม่ พูดอะไร คิดอะไร จะรับฟัง เขาจะเป็นคนเปิดรับแบบสังเคราะห์ตัวเอง เป็นประเภทสากลวัยที่คนเฒ่าก็ชอบ เด็กๆ ก็ชอบ อาเลยรู้สึกว่า งั้นเอาบ้าง เมื่อก่อนอาสนใจแต่อะไรในวัยตัวเอง แต่ตอนนี้อาเปิดรับศิลปินเกาหลี ซีรีส์เกาหลี ซีรีส์วาย แล้วทำคลิปรีแอคชั่น ดูแล้วเข้าใจเด็กรุ่นใหม่เลยว่าทำไมเขาถึงชอบอะไรแนวนี้

อาไก่: เราต้องพยายามดูว่า เด็กเขาเป็นยังไง โซเชียลเขาเป็นยังไง ถ้าเราจะทำงานในอุตสาหกรรมนี้เราต้องไม่แก่ เราต้องไม่เชย แล้วเราต้องไม่คิดว่าตัวเองแก่นะ จะในวงการนี้หรืออุตสาหกรรมไหนก็ตามที ถ้าคิดว่าตัวเองไม่แก่ เราก็ไม่แก่ เรายังต้องติดตามข่าวสารอัพเดตในวงการทุกอย่าง เราก็จะสามารถสนุก และมีความสุขไปกับมันได้

สิ่งที่อาทั้งสองอยากบอกกับเด็กรุ่นใหม่
อาไก่: สมัยนี้ โอกาสเปิดกว้างรอบตัว ไม่ต้องรอสังกัด เปิดช่องตัวเองได้เลย อยู่ที่ว่าตัวเองจะนำโอกาสตรงนั้นมาสร้างศักยภาพได้มากน้อยแค่ไหน แต่ถ้าวันใดวันหนึ่ง คุณไม่ได้เป็นอิสระ คุณเข้ามาอยู่ในองค์กร ขออย่างเดียว ต้องมีความรับผิดชอบ และไม่ทำตัวยิ่งใหญ่ ถ้าคุณเก่ง คุณมีค่า คนจะเคารพคุณเอง สิ่งที่อยากบอกคือ มีความรับผิดชอบ และอย่าหลงตน แค่นั้นเลย

อาตุ่ย: ทำงานต่อไปด้วยใจรัก ทำอย่างมีความสุขคนไม่เห็นคุณค่าในวันนี้ แต่วันหนึ่ง มันต้องเป็นวันของเรา คนเราเนี่ยให้คนอื่นมาด้อยค่าได้ ดูถูกได้ แต่เราต้องไม่ด้อยค่าตัวเองและดูถูกตัวเอง สำคัญเราต้องอยู่บนพื้นฐานของคิดดี ทำดี แล้วสิ่งดีๆ จะเข้ามาหาเราอย่างแน่นอน

สัมภาษณ์: พิสิฐกานต์ ฉัตรจรัสแสง
เรียบเรียง: Singha Magazine
Share.