จากบทความรู้ดีเล่มที่ผ่านมา ผมได้พาไปบุกป่าส่องสัตว์ในอุทยานแห่งชาติอิโตชา (Etosha National Park) ของประเทศนามิเบีย (Namibia) มาแล้ว แต่ความน่าสนใจในประเทศนามิเบียยังไม่หมดแค่นั้น ยังมี landmark ที่ไม่ควรพลาด ซึ่งผมจะพาไปพบกับสีสันแห่งนามิเบียในทะเลทรายที่เก่าแก่ที่สุดในโลก จะมีอะไรบ้างไปดูกัน
ข้อมูลควรรู้ก่อนไปเหยียบนามิเบีย
นามิเบีย มาจากชื่อของทะเลทรายนามิบ
ทะเลทรายนามิบ มีความยาวเกือบตลอดชายฝั่งของพรมแดนด้านตะวันตกติดริมฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ถึงแม้ว่าจะติดทะเล ดินแดนแห่งนี้กลับถูกปกคลุมด้วยทะเลทรายทั้งหมดจนได้รับสมยานามว่า Beautiful Emptiness (ความว่างเปล่าที่สวยงาม)
นามิเบีย มีเมืองหลวงชื่อ วินด์ฮุก
การเดินทางมาเที่ยวของนักท่องเที่ยวไทยต้องใช้วีซ่า และต้องส่งพาสปอร์ตไปทำวีซ่าที่กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย แต่ข่าวดีคือเขาเปิดให้คนไทยทำ Visa on Arrival (VOA) ได้แล้ว โดยเราต้องบินลงที่สนามบินโฮซี คูทาโก ในเมืองหลวง และทำเรื่องขอ VOA ก่อนผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง กรอกเอกสารแล้วจ่ายค่าวีซ่าคนละ 1,200 ดอลลาร์นามิเบีย (NAD) ประมาณ 2,400 บาท หรือจะใช้สกุลเงิน ZAR ของประเทศแอฟริกาใต้ก็ได้ ซึ่งที่นี่อัตราแลกเปลี่ยน 1:1
การเดินทางไม่มีบินตรง
ผมเองเดินทางด้วยสายการบินเอธิโอเปียนแอร์ไลน์ โดยแวะเปลี่ยนเครื่องที่แอดดิสอาบาบา เมืองหลวงของเอธิโอเปีย รวมเวลาบินและต่อเครื่องทั้งหมดราวๆ 15 ชั่วโมง และการเดินทางไปสถานที่ต่างๆ ในประเทศนามิเบียแนะนำให้เช่ารถขับที่เป็นรถขับเคลื่อน 4 ล้อได้ (4WD) เพราะต้องลุยทราย ส่วนการเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะจะจำกัดแค่เพียงในเมืองใหญ่ๆ เท่านั้น
ควรทำวัคซีนก่อนเดินทาง
เพราะทวีปแอฟริกามีโรคที่มีสัตว์เป็นพาหะ ก็น่ากลัวอยู่ เพราะเป็นแล้วถึงตาย แนะนำให้ไปรับยาและวัคซีนที่จำเป็น เช่น ยาป้องกันโรคมาลาเรีย ส่วนวัคซีนจะมีวัคซีนไข้เหลืองที่ฉีดครั้งเดียวคุ้มกันตลอดชีวิต แต่วัคซีนเป็นเชื้อเป็น เมื่อฉีดเข้าร่างกายแล้วถ้าร่างกายเราไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันมาต้านได้เราก็จะเป็นไข้เหลืองได้เลย ซึ่งหมอจะให้เซ็นยินยอมก่อนฉีด และยังมีวัคซีนตับอักเสบ A/B วัคซีนพิษสุนัขบ้า ทั้งหมดทั้งมวลให้เราฉีดตามคำแนะนำของหมอดีที่สุดครับ
เรื่องความปลอดภัย
หลายคนคงทราบดีว่าประเทศในทวีปแอฟริกาเรื่องอันตรายมาเป็นอันดับต้นๆ น่าจะพอๆ กับอเมริกาใต้ ซึ่งผมเองก็กลัวไม่ต่างจากทุกคนจนเอาของมีค่าไปแค่ 2 อย่าง คือ iPhone ไว้ถ่ายรูป และบัตรเครดิต 1 ใบไว้ใช้จ่ายเท่านั้น แต่ก้าวแรกที่เข้าเมืองวินด์ฮุก คือความเจริญและดูสะอาดตา ที่นี่ปลอดภัยกว่าที่คิดไว้มาก มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ร้านอาหารแต่ละเมืองที่แวะพักรถก็อร่อยรสชาติดี และทุกเมืองจะมีซูเปอร์มาร์เก็ตให้เลือกซื้อได้ทุกอย่าง ทำให้รู้สึกว่าไม่ลำบากอย่างที่คิด
ปัจจัยที่ขาดไม่ได้คืออินเทอร์เน็ต
แนะนำให้ซื้อซิมจากสนามบิน ซึ่งซิมเจ้าใหญ่ที่สุดของนามิเบียก็คือ MTC โดยหลังจากผ่านศุลกากรออกมาแล้ว จะมีร้านMTC อยู่หน้าประตูทางออก มีแพ็กเกจให้เลือกตามจำนวนวันและ Data ที่เราต้องการ เรื่องสัญญาณในเมืองใหญ่ก็จะเป็น 4G ส่วนเมืองเล็กๆ ที่ห่างไกลก็แล้วแต่จุด แต่บอกเลยว่าเบาจนบางทีก็เล่นไม่ได้ แนะนำว่าถ้าจะพึ่งพา 4G ในการดูแผนที่ขับรถ ควรโหลด Offline Map อย่าง Maps.Me ไว้ใช้เดินทางจะดีมาก
เมื่อเตรียมตัวพร้อมแล้วมาลุยไปกับ 5 สีสันที่ไม่ควรพลาดของประเทศนามิเบียกันเลย >>>
The Rock Arch at Spitzkoppe
ค่าอุทยานคนละ 120 NAD
The Rock Arch แห่งหนึ่งที่มีชื่อว่า “สปิตซ์คอปเป” (Spitzkoppe) เป็นมรดกโลกที่มี The Bushman Paintings ซึ่งเป็นภาพวาดบนผนังหินที่มีอายุเก่าแก่ และมีหินที่โค้งเป็นรูปทรงสวยงาม รวมถึงมีวิวทะเลทรายและเขาล้อมรอบ 360 องศา ถ่ายรูปสวยทั้งกลางวันและกลางคืน การถ่ายรูปส่วนใหญ่จะถ่ายเป็นทรงประตูโค้งที่มีวิวเขาสวยงามอยู่ด้านใน ซึ่งถ่ายได้ทั้ง 2 ฝั่ง แล้วแต่ความชอบและแสงที่ตกกระทบ ณ เวลาที่ไปถึง
วิถีชีวิตของชนเผ่า Himba ทางตอนเหนือของนามิเบีย
ค่าเข้าคนละ 335 NAD
ในความคิดแรกไม่อยากมาที่นี่เลย เพราะการเดินดูวิถีชีวิตคนอาจจะเป็นการกระทำที่ทำร้ายความรู้สึกของคนท้องที่ ซึ่งหลายคนเรียกกันว่าHuman Zoo ซึ่งผมเองก็ไม่ชอบด้วย แต่การไปเยือนหมู่บ้าน Omapaha Himba ในครั้งนี้มีผู้ดูแลหมู่บ้านหรือถ้าเทียบบทบาทก็เหมือนหัวหน้าทัวร์ที่เป็นผู้พาเดินเข้าไป ซึ่งผู้ดูแลบอกว่าการที่ตัวเขาเองได้ทำตรงนี้ก็เพื่อความอยู่รอดและรักษาชนเผ่านี้ให้คงอยู่ เพราะปัจจุบันสังคมและการดำเนินชีวิตของชนเผ่าเริ่มเปลี่ยนไปจากเดิม จากที่ล่าสัตว์หรือเพาะปลูกก็เปลี่ยนมาทำสร้อยจากการถักเชือกหรือแกะสลักไม้หรือเขาสัตว์ เพื่อทำเป็นของที่ระลึกขายให้กับนักท่องเที่ยวแทน ทำให้การทำมาหากินเปลี่ยนมาพึ่งพาการได้เงินจากนักท่องเที่ยวเพื่อไปซื้อสิ่งของอุปโภคบริโภค ดังนั้นการมาเยือนของเราจึงเป็นที่ต้อนรับเป็นอย่างดี รายได้จากการเยี่ยมชมก็จะนำไปช่วยเรื่องความเป็นอยู่และนำไปช่วยเหลือเด็กชนเผ่าที่กำพร้าในหมู่บ้าน
ผมใช้เวลาในหมู่บ้านเกือบ 2 ชั่วโมง เรียนรู้วิถีชีวิตที่ใช้น้ำน้อยมากในชีวิตประจำวันเพราะน้ำเป็นสิ่งที่ขาดแคลนมาก มีไว้แค่บริโภคสำหรับคนและทำปศุสัตว์เท่านั้น ถ้าจะอาบน้ำเขาจะใช้วิธีจุดกำยานแล้วนำมารนในจุดที่อยากให้หอม เช่น ผม ตัว แขน พูดง่ายๆ คือรมควันตัวเองให้หอมนั่นเอง เรื่องการเรียนจะมีแค่ผู้ชายที่ได้เรียน ส่วนผู้หญิงก็ทำหน้าที่แม่ศรีเรือน จริงๆ เหมือนหญิงไทยสมัยก่อนคือแต่งงานเร็วมีลูกดูแลบ้าน การแต่งกายของผู้หญิงจะแปลกตรงสิ่งประดับบนหัว ผู้หญิงจากชนเผ่า Himba ทางตอนเหนือของนามิเบีย มีทรงผมอันเป็นเอกลักษณ์ ทรงผมเหล่านี้เรียกว่า Otjize พวกเธอจะนำไขมันสัตว์และดินเหนียวมาผสมกัน เพื่อพอกที่ผมและผิว ดินเหล่านี้จะช่วยปกป้องพวกเธอจากแสงแดดร้อนแรง ในขณะเดียวกันก็เป็นสัญลักษณ์ของความสวยงามอีกด้วย
Sandwich Harbour
ค่าทัวร์คนละ 2250 NAD (Sandwich Harbour 4×4 and Sunset Tour)
Sandwich Harbour เป็นแลนด์สเคปที่สวยมาก เพราะจากเนินทรายกว้างใหญ่ในอุทยานแห่งชาตินามิบ-น็อคลัฟท์ ลาดลงมาก็เจอกับมหาสมุทรแอตแลนติกทันทีถึงแม้ว่าทะเลจะติดกับทะเลทรายขนาดนี้แต่ผืนน้ำก็ไม่ได้ช่วยพาความชุ่มชื้นมาสู่ดินแดนแห่งนี้แม้แต่น้อย นั่นเป็นเพราะกระแสน้ำเย็นเบงกีลาที่ไหลขึ้นทิศเหนือนำพาความแห้งแล้งมาให้ชายฝั่งตะวันออกตั้งแต่เซาท์แอฟริกาขึ้นมาถึงนามิเบีย ทำให้เมืองชายฝั่งอย่างสวากอปมุนด์ และ วัลวิส เบย์ อากาศหนาวกว่าแถบอิโตชาและเซซิเรียม ประมาณ 10 องศาเลยทีเดียวในเวลากลางวัน แต่สภาพภูมิประเทศแบบนี้ทำให้ Sandwich Harbour มีเอกลักษณ์ที่สวยงาม แต่ความยากคือเราต้องใช้คนที่ชำนาญทางและรถ 4WD เข้าไปเท่านั้น เพราะทางเป็นทะเลทรายล้วนๆ และอยู่ลึกเข้าไปเกือบ 10 กิโลเมตร
Sand Dunes 40 and 45
ค่าเข้าอุทยาน คนละ 150 NAD ส่วนรถคันละ 50 NAD
ก่อนจะเข้าไปเจอกับไฮไลท์อย่าง Deadvlei จะต้องขับผ่านทะเลทรายที่มีเนินทรายที่สูงและสวยงามแตกต่างกันตามแรงลมที่พัดให้เกิดขึ้น ซึ่งเรียกกันว่า Sand Dune เนินทรายที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดในโลก ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาตินามิบ-น็อคลัฟท์ มรดกโลกที่เป็นส่วนหนึ่งของทะเลทรายนามิบ หนึ่งในทะเลทรายที่เก่าแก่ของโลก อุทยานแห่งนี้ใหญ่ที่สุดในแอฟริกา และใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 49,768 ตารางกิโลเมตร คาดว่ามีอายุอย่างน้อย 55 ล้านปี ช่วงเวลาที่ Dune สวยที่สุดคือช่วงเช้ากับเย็น เพราะพระอาทิตย์จะส่องแสงกระทบฝั่งนึงของ Dune และอีกฝั่งจะเป็นเงามืด ซึ่งความแตกต่างของ 2 ฝั่งนี่แหละทำให้ Sand Dune สวยงามมาก
Deadvlei
ไฮไลท์ของทริปนามิเบีย คือ Deadvlei ถ้าแปลตามตัวหมายถึง “บึงที่ตายแล้ว” เพราะในอดีตเคยเป็นแหล่งน้ำมาก่อน เมื่อเกิดน้ำท่วมจากแม่น้ำทเซาชาบ (Tsauchab) ทำให้ดินมีความชุ่มชื้นจนต้นคาเมลธอร์นเติบโต แต่ด้วยเวลาผ่านไป สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง แนวทะเลทรายเริ่มรุกล้ำจนปิดกั้นแม่น้ำ อากาศที่ร้อนและฝนไม่ตกตามฤดูกาลทำให้น้ำค่อยๆ ระเหยออกไปเรื่อยๆ จนต้นคาเมลธอร์นเริ่มตายในลักษณะที่ถูกดึงน้ำออกแบบแห้งสนิท แต่ยังคงรูปร่างที่สมบูรณ์อยู่
ทะเลทรายสีส้ม ดินสีขาวที่แห้งแล้ง ท้องฟ้าสีฟ้าสด และต้นคาเมลธอร์นดำสนิทที่แห้งตายอายุกว่า 1,000 ปี องค์ประกอบของทั้งสี่นี้เองทำให้พื้นที่แห่งนี้เกิดทัศนียภาพที่หาดูได้ยาก จากจุดจอดรถเริ่มต้นเดินเท้าเข้าไปประมาณ 1 กิโลเมตร ระหว่างทางเป็นทะเลทรายที่ไม่มีต้นไม้สักต้นให้หลบแดด ทำให้ระยะทาง 1 กิโลเมตรที่เดินยาวนานและร้อนมาก แต่เมื่อถึงจุดหมายปลายทางก็บอกเลยว่าสวยเกินจะบรรยาย ต้องใช้2 ตาดูเองเท่านั้น ต้นคาเมลธอร์นแต่ละต้นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ส่วนมุมถ่ายรูปมีเป็นล้านมุมแบบ 360 องศา ซูมเข้าซูมออกตามชอบ เพราะพื้นที่กว้างและมีต้นคาเมลธอร์นหลายต้นให้เดินถ่ายรูปจนแบตเตอรี่หมด