วัฒนธรรมการเสพ จากยาโบราณสู่สารเสพติด

0

ในอดีตที่โลกยังไม่เจริญก้าวหน้าด้วยเทคโนโลยี มนุษย์นำสมุนไพรธรรมชาติมาใช้เป็นยารักษาโรคต่างๆ ซึ่งสมุนไพรยาที่ใช้กันไปทั่วโลกมีหลายชนิด แต่ที่เป็นที่สุดจริงๆ ต้องยกให้ ฝิ่น กัญชา โคคา ยาสูบ พืชแต่ละตัวที่ว่านี้ หลายคนคงบอกว่านี่มัน “สารเสพติด” อันตรายชัดๆ

ใช่แล้ว สารเสพติดพวกนี้คือยาที่ขาดไม่ได้ของคนทั่วโลกมาก่อน แต่จะบอกว่าคนสมัยก่อน “ขี้ยา” ก็ไม่ใช่เพราะการเสพในยุคนั้นมันคือการบริโภคยาอย่างหนึ่ง และสมุนไพรแต่ละชนิดที่ว่าก็อยู่มานานจนมี “วัฒนธรรมการเสพ” เป็นของตัวเอง

แล้วอะไรที่ทำให้มันมาถึงจุดที่ “ต้องห้าม” หรือถูกควบคุมทางกฎหมายอยู่ทุกวันนี้ และอะไรที่ทำให้ “บางที่” พยายามจะนำสิ่งเหล่านี้กลับมาเป็นยา
เราจะพาท่านผู้อ่านย้อนไปดูวัฒนธรรมการเสพสมุนไพรทั้งสี่ชนิดนี้

แต่ต้องขอออกตัวก่อนว่าเราไม่ได้มีวัตถุประสงค์จะสนับสนุนให้ใครเสพยา เพียงแต่จะพาไปหาคำตอบและช่วยเปิดมุมมองว่า ยา กับ สารเสพติด จริงๆ แล้วเส้นกันหลักๆ ของมันอยู่ที่ “การนำไปใช้”เท่านั้น ขอเริ่มกันที่กัญชาที่เราเชื่อว่าหลายคนคงอยากจะรู้จักมันให้มากขึ้น

 

Cannabis กัญชา

พืชดึกดำบรรพ์ที่มีชาติกำเนิดอยู่ในเอเชียกลางและอินเดีย หมอทั่วโลกสมัยก่อนใช้เป็นยาบรรเทาอาการปวดต่างๆ โดยเฉพาะโรคเกาต์ มีการใช้รักษาต้อหินและมะเร็งด้วย ในตำรับยาแผนไทยโบราณก็มีกัญชาเป็นส่วนประกอบสำคัญอยู่หลายขนาน

ในยุค 60 คนเสพกัญชามีมากเป็นรองแค่ยาสูบและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พอมีการเสพมากเข้าก็ทำให้เกิดปัญหาอาชญากรรมเพิ่มขึ้นจากคนเมากัญชา ทั่วโลกจึงมีนโยบายปราบปราม ในไทยได้มีพ.ร.บ.กัญชามาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1934 โดยสั่งห้ามปลูก ห้ามซื้อขาย ห้ามนำเข้า ห้ามเสพ พอมาถึง ค.ศ. 1979 ได้เปลี่ยนมาใช้ พ.ร.บ.ยาเสพติดแทน ซึ่งกัญชาก็ยังเป็นของต้องห้ามอยู่ในกฎหมายนี้

 

ปลดล็อคกัญชา

แม้ประเทศส่วนใหญ่บนโลกจะยังให้สถานะกัญชาเป็นสิ่งต้องห้าม แต่ก็มีบางประเทศที่ยอมให้ใช้กัญชาในทางที่เป็นประโยชน์และในทางการแพทย์ ในยุค 70 เป็นต้นมาสถานะของกัญชาจึงขึ้นอยู่กับการควบคุมจัดการของแต่ละประเทศ โดยมีระดับการยอมรับในทางกฎหมายที่แตกต่างกัน

• (สีเขียว) ประเทศที่ให้ใช้ทางการแพทย์ อย่างถูกกฎหมาย อาร์เจนตินา ออสเตรเลีย แคนาดา สหรัฐฯ (บางรัฐ) ชิลี โคลอมเบีย โครเอเชีย ไซปรัส เยอรมนี กรีซ อิสราเอล อิตาลี จาไมก้า ลิธัวเนีย ลักเซมเบิร์ก มาซิโดเนียเหนือ นอร์เวย์ เนเธอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ เปรู โปรตุเกส โปแลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ และไทย

• (สีน้ำตาล) ประเทศที่ให้เสพและครอบ ครองได้ภายใต้กฎหมายกำหนด แคนาดา จอร์เจีย แอฟริกาใต้ อุรุกวัยสหรัฐฯ (บางรัฐ) ออสเตรเลีย (บางรัฐ)
อีกหลายประเทศก็ยังไม่ให้กัญชาถูกกฎหมายทั้งการเสพและการแพทย์ แต่ได้ลดบทลงโทษลง และมองผู้เสพเป็นคนป่วยที่ต้องรักษา ไม่ใช่อาชญากร อย่างไรก็ดีกฎหมายให้แค่ไหนก็แค่นั้น ถ้าเลยเถิดไปก็ต้องรับโทษอยู่นั่นเอง

Opium ฝิ่น

พืชที่กำเนิดขึ้นเมื่อใดไม่แน่ชัด แต่ได้รับความนิยมมาตั้งแต่ยุคเมโสโปเตเมีย มีการนำมาใช้เป็นยารักษาทั่วไปโดยใช้เป็นยานอนหลับ ยาแก้ท้องร่วง ยาแก้ปวด พร้อมทั้งใช้เป็นสารเสพติดด้วย ชาวสุเมเรียนให้ฉายาฝิ่นว่า “พืชหรรษา” ไม่เพียงเท่านั้น มันยังถูกใช้เป็นยาพิษที่ทำให้เหยื่อหลับแล้วไม่ตื่นอีกเลย เทียบกับยาสมุนไพรที่เสพติดได้ตัวอื่นๆ ฝิ่นเป็นพืชที่ถูกใช้นอกเหนือจากยามาเป็นอาวุธทำลายคนมากที่สุด

 

Morphine มอร์ฟีน

ฝิ่นเป็นยาได้ดีเพราะมันมีสารอัลคาลอยด์ (สารที่ใช้ทำยา) กว่า 30 ชนิด ตัวที่นิยมที่สุด คือ มอร์ฟีน สารระงับปวดที่ถูกสกัดจากฝิ่นได้ในปี 1803-1805 โดยเภสัชกรชาวเยอรมัน ปัจจุบันในประเทศที่พัฒนาแล้ว มอร์ฟีนเป็นยาสำคัญที่สุดที่จำเป็นต่อระบบสาธารณสุขพื้นฐาน ในทางกลับกัน มันก็เป็นสารที่ทำให้เสพติดง่ายที่สุดในฝิ่น หากได้รับมากเกินไปฤทธิ์ของมันอาจกดระบบทางเดินหายใจจนเสียชีวิต 

ยาที่ทรงประสิทธิภาพ

ชาวมุสลิมในยุคจักรวรรดิอิสลามเป็นผู้พัฒนาฝิ่นมาใช้เป็นยาที่มีประสิทธิภาพ โดยใช้เป็นยาชายาสลบในการผ่าตัด นำไปเป็นส่วนผสมของตัวยาหลายขนานสำหรับแก้ปวด รวมทั้งใช้รักษาอาการซึมเศร้า หมอชาวเปอร์เซียบอกว่าฝิ่นให้ฤทธิ์มึนงงแรงที่สุดในบรรดาพืชที่ให้ฤทธิ์เหมือนกันตำรับยาที่ทำจากฝิ่นโดยชาวเปอร์เซียได้กลายเป็นยาสากลตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 ทำให้ฝิ่นเป็นพืชที่คนทั่วโลกต้องการ

อาวุธที่ร้ายกาจ
ฝิ่นเป็นพืชที่คนสมัยก่อนรู้ว่าหากเสพมากๆ ก็ถึงตายโดยไม่ต้องรอให้การแพทย์ยุคหลังมายืนยัน หลายชาติจึงพยายามควบคุมการเสพฝิ่นไม่ให้ระบาดเป็นวงกว้างโดยมีหลักฐานตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 แต่การห้ามก็ไม่เคยสำเร็จ ชาวเอเชียจะติดฝิ่นมากกว่าชาวตะวันตกเพราะมีการปลูกมากในเอเชีย ช่วงศตวรรษที่ 19 ประเทศเจ้าอาณานิคมจึงใช้ฝิ่นเป็นอาวุธในการที่จะเข้าครอบครองจี

 

                                                                                                                                  Heroin เฮโรอีน                                                                                                                                                        สารที่สกัดจากมอร์ฟีนได้ในปี 1874 โดยนักเคมีชาวอังกฤษ เพื่อให้เป็นตัวเลือกที่จะใช้ทำยาโดยลดการเสพติด แต่ปรากฏว่ามันมีฤทธิ์แรงกว่ามอร์ฟีน 4-8 เท่า ซ้ำยังเสพติดง่ายกว่ามาก จึงถูกหยุดพัฒนาในปี 1913 แต่ก็มีผู้นำไปใช้เป็นสารเสพติดจนแพร่ระบาดหนักตั้งแต่ยุค 40 ปัจจุบันถูกจัดเป็นสารเสพติดที่ผิดกฎหมายทั่วโลก แต่ในสวิตเซอร์แลนด์ อังกฤษ เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ แคนาดา มีการนำมาใช้เป็นยาด้วย

 

 

 

 

 

Coca โคคา

พืชโคคามีความเก่าแก่ไม่ตํ่ากว่า 5,000 ปี มีกำเนิดอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ ชนพื้นเมืองอย่างชาวอินคาที่อาศัยอยู่บนเทือกเขาแอนดีสได้นำใบโคคามาเคี้ยวสดๆ เพื่อให้หัวใจสูบฉีดเร็วขึ้นและหายใจได้คล่องเหมาะกับการใช้ชีวิตบนที่สูงที่อากาศเบาบาง และยังใช้เป็นยาบำรุงกำลัง ช่วยให้กระปรี้กระเปร่า ระงับความเหน็ดเหนื่อย ความหิว รวมทั้งรักษาอาการภายนอก เช่น ลดการอักเสบของแผล สมานกระดูก

 

COCA COLA โคคา-โคล่า

ในปี 1885 เภสัชกรชาวอเมริกัน จอห์น เพมเบอร์ตัน ได้นำสารสกัดจากใบและเมล็ดโคคาผสมลงในน้ำโซดาออกมาเป็นเครื่องดื่มโคคา-โคล่าที่คนรู้จักทั่วโลก (เลิกผสมโคเคนตั้งแต่ปี 1903 และใส่คาเฟอีนแทน)

ผงขาว

ในปี 1885 โคเคนในรูปผงขาวที่ผสมน้ำเพื่อฉีดเข้าเส้นและสูดเข้าจมูกได้เริ่มวางขาย และก็เป็นที่นิยมมาจนถึงศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะในหมู่คนร่ำรวยในยุค 70 ก่อนที่มันจะไประบาดต่อในกลุ่มวัยรุ่นทั่วไป  

ยาเสพติดให้โทษ

เริ่มมีหลักฐานชี้ชัดถึงผลร้ายของโคเคนในปี 1903 ที่ทำให้ผู้เสพมีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจเสื่อมลงจนหัวใจล้มเหลว และมีฤทธิ์กระตุ้นประสาทรุนแรง ในที่สุดมันจึงถูกแบนในระดับสากลในฐานะยาเสพติดให้โทษอย่างเป็นทางการในปี 1922 เป็นของต้องห้ามในไทยด้วย แต่ก็เช่นเดียวกับกัญชาที่มีการผ่อนผันบ้างเพื่อใช้ประโยชน์ทางยา ในบางประเทศต้นโคคาที่ยังไม่ถูกแปลงเป็นโคเคนก็ไม่ถือว่าผิดกฎหมาย

วัฒนธรรมที่คงอยู่

การปลูก “ต้นโคคา” ยังเป็นสิ่งถูกกฎหมายในอาร์เจนตินา โบลิเวีย และเปรู ที่สำคัญ คนท้องถิ่นในประเทศเหล่านี้และในแถบเทือกเขาแอนดีส ทุกวันนี้ยังเคี้ยวใบโคคาสดๆ เพื่อความกระปรี้กระเปร่าและเป็นยาชูกำลัง ไม่ต่างจากที่เคยทำเมื่อหลายพันปีก่อน นอกจากจะเคี้ยวสดๆ แล้วยังดื่มชาจากใบโคคาด้วย มีทั้งเป็นใบแห้งที่นำมาใส่น้ำร้อนและเป็นแบบถุงชาสำเร็จรูป ซึ่งถ้าไปดื่มที่อื่นก็จะผิดกฎหมาย

 

TOBACCO ยาสูบ

พืชดั้งเดิมในทวีปอเมริกาที่มีการปลูกกันมาไม่ตํ่ากว่า 8,000 ปี แม้ขณะนี้จะไม่ถูกจัดเป็นสารเสพติดร้ายแรงแต่ก็ถูกควบคุมเข้มงวด เพราะนิโคตินในยาสูบเป็นสารที่มีอันตราย แต่ก่อนที่คนจะนำยาสูบมาสูบกันจนเป็นนิสัยและนำไปผลิตบุหรี่ พืชชนิดนี้เคยเป็นสมุนไพรที่ชาวอินเดียนแดงริเริ่มใช้เป็นยา จนเมื่อชาวยุโรปได้มาค้นพบทวีปอเมริกาในปลายศตวรรษที่ 15 ก็ได้นำยาสูบไปเผยแพร่ให้ทั่วโลกรู้จัก

ยาครอบจักรวาล

เพิ่งจะมีการนำยาสูบมาใช้เป็นยาครอบจักรวาลในปลายศตวรรษที่ 16 โดยหมอชาวสเปนระบุว่ามันมีสรรพคุณที่รักษาได้ถึง 36 อาการ ซึ่งก็จริงอยู่บ้าง เพราะฤทธิ์ของยาสูบช่วยระงับประสาท แก้หวัด ขับเสมหะ ขับปัสสาวะ แก้พิษงูแก้ปวดบวม คนในยุคนั้นตื่นเต้นกับยาสูบเพราะเพิ่งรู้จักและเห็นเป็นของใหม่(เมื่อเทียบกับกัญชาและฝิ่น) มันจึงกลายเป็นพืชที่มีมูลค่าดั่งทองและเริ่มมีการสูบกันไปทั่วโลก

สังคมสิงห์อมควัน

เมื่อความนิยมในยาสูบสูงมากเข้า คนก็เริ่มสูบกันเป็นสันทนาการทั้งการสูบไปป์และซิการ์ แต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 17 ชาวยุโรปยังมีค่านิยมว่าการสูบเพื่อความเริงรมย์เป็น “นิสัยที่ไม่ดี” และดูเป็นพวก “โลว์คลาส” แต่เพราะยาสูบและธุรกิจผลิตไปป์ทำเงินมหาศาล ไม่กี่สิบปีต่อมา การสูบจึงไม่โลว์คลาสอีกต่อไปแต่กลายเป็นนิสัยที่ใครๆ ก็ทำกัน และกลายเป็นวัฒนธรรมที่มีความหมายในช่วงศตวรรษที่ 18-19

สุภาพบุรุษที่มีสังคม
ผู้ชายจะสูบไปป์หรือซิการ์เพื่อแสดงสถานะสุภาพบุรุษที่ประสบความสำเร็จ แต่ผู้หญิงที่สูบจะถูกมองไม่ดี นอกจากนี้การสูบยังแสดงถึงการเฉลิมฉลอง มีธรรมเนียมการสูบหลังมื้ออาหารค่ำเพื่อสังสรรค์ ที่ที่มีการพบปะกันอย่างร้านกาแฟ โรงเหล้าจะต้องมีการสูบ และแข่งกันด้วยว่าใครจะอมควันได้นานกว่า

เป็นไลฟ์สไตล์
ศตวรรษที่ 19 การสูบแสดงถึงความเท่และความสุขุมของสุภาพบุรุษ มีแฟชั่นเสื้อนอกสำหรับนักสูบ (Smoking jacket) เพื่อเพิ่มรสนิยมในการสูบด้วย แม้ยุคนี้จะมีการค้นพบอย่างแน่ชัดแล้วว่าสารนิโคตินในยาสูบมีอันตราย แต่ก็ดูจะไม่ค่อยมีใครสนใจนัก

 

ปี ค.ศ. 1900 เป็นต้นมา บุหรี่ (Cigarette) เข้ามาแทนที่การสูบไปป์และซิการ์ เพราะสูบง่ายกว่าและราคาถูกกว่า การสูบบุหรี่มาพร้อมค่านิยมเรื่องอิสรภาพ ความเท่าเทียม เสน่ห์ที่น่าหลงใหล ผู้หญิงก็ไม่ถูกห้ามสูบอีกต่อไป บวกกับมีพลังการโฆษณาจากผู้ผลิตบุหรี่ การสูบบุหรี่จึงเข้าถึงคนในสังคมทุกระดับ ในยุค 20-80 การสูบบุหรี่เป็นสิ่งที่ทำได้อิสระทั่วไป ไม่ว่าจะที่บ้าน ที่ทำงาน บนเครื่องบิน โรงหนัง แม้แต่โรงพยาบาล

 

ห้ามสูบ

ในปี 1950 มีการค้นพบว่าการสูบบุหรี่มีส่วนของการเกิดโรคมะเร็งปอด จากนั้นก็มีหลักฐานที่ชี้ชัดมากขึ้นว่านิโคตินในบุหรี่และยาสูบเป็นอันตรายต่อสุขภาพ และบุหรี่ยังมีสารเคมีอื่นๆ ที่เป็นพิษต่อร่างกาย จึงมีผู้ต่อต้านการสูบบุหรี่มากขึ้น ยุค 90 เป็นต้นมาจะเห็นได้ว่าแต่ละประเทศเริ่มออกมาตรการควบคุมการสูบ

• แคมเปญเลิกบุหรี่
มีการสร้างค่านิยมเกี่ยวกับการสูบใหม่ โดยนำข้อเท็จจริงที่ว่า “บุหรี่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ” มาทำให้คนกลัว รวมทั้งสร้างค่านิยม “เลิกบุหรี่เพื่อคนที่คุณรัก” มาแทนที่ค่านิยมการสูบเดิมๆ

• ออกกฎหมายจำกัดการสูบ
ปี 1995 รัฐแคลิฟอร์เนีย ในสหรัฐฯ ออกกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ในที่ทำงาน ต่อมาปี 2004 ไอร์แลนด์เป็นประเทศแรกในโลกที่ห้ามสูบบุหรี่ในที่ทำงาน จากนั้นประเทศอื่นๆ ก็ทำตามและทั่วโลกมีกฎหมายออกมาบีบพื้นที่การสูบบุหรี่ให้แคบลงเรื่อยๆ รวมถึงประเทศไทย

 

ทุกวันนี้ แม้จะมีการวิจัยนิโคตินเพื่อการรักษาผู้ป่วยอัลไซเมอร์และพาร์กินสัน แต่คนทั่วไปรู้จักประโยชน์ของยาสูบน้อยลงทุกที เพราะส่วนมากมันจะถูกนำมาผลิตบุหรี่จนสรรพคุณดั้งเดิมในฐานะสมุนไพรแทบจะถูกลืมไป

Share.