ธุรกิจครอบครัว BACARDI ตำนานเหล้ารัมสีขาว

0

อีกไม่ถึง 2 ปีจะครบรอบ 160 ปีของบาคาร์ดี (Bacardi) ธุรกิจครอบครัวที่ให้กำเนิด
“บาคาร์ดีรัม” เหล้ารัมสีขาวใส และยังเป็นเจ้าของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีกกว่า 200 แบรนด์
แต่ในความยาวนานและความรุ่งโรจน์นี้ หากย้อนไปดูเส้นทางของบาคาร์ดีจริงๆ จะพบว่าเป็นอีกธุรกิจ
ที่ต้องฝ่าฟันมรสุมไม่น้อยกว่าจะกลายมาเป็นธุรกิจครอบครัวด้านสุราที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ผู้ริเริ่มธุรกิจ ได้แก่ ดอน ฟาคุนโด บาคาร์ดี มาสโซ พ่อค้าขายไวน์ชาวสเปนที่อพยพมาอยู่คิวบาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1830 เขาเป็นพ่อค้าขายของทั่วไปในเมืองซานติอาโก เดอ คิวบา ก่อนจะเปลี่ยนมาเริ่มธุรกิจเหล้ารัม (เหล้าที่กลั่นจากอ้อยหรือกากน้ำตาล) ในปี 1852

ช่วงเวลานั้น รัมยังจัดเป็นเหล้าคุณภาพต่ำ ไม่ค่อยมีขายในร้านเหล้าหรูๆ ฟาคุนโดจึงพยายามที่จะทดลองกลั่นเหล้ารัมให้ได้คุณภาพพรีเมี่ยม เริ่มตั้งแต่การคัดสายพันธุ์ยีสต์จากรากของต้นอ้อยที่ปลูกในคิวบาจนได้ยีสต์สายพันธุ์เฉพาะ การกรองด้วยผงถ่านการบ่มไว้ในถังไม้โอ๊คขาว เขาใช้เวลาทดลองอยู่นานถึง 10 ปี ในที่สุดจึงได้ผลิตภัณฑ์ออกมาเป็นเหล้ารัมสีขาวใสรสเบาๆ ครั้งแรกของโลก

เมื่อการทดลองสำเร็จ ฟาคุนโดร่วมกับเพื่อนของเขาซื้อโรงกลั่นเหล้าเล็กๆ แห่งหนึ่งในเมืองซานติอาโก เดอ คิวบา ใต้ชายคาของโรงกลั่นแห่งนี้มีค้างคาวผลไม้อาศัยอยู่เขาจึงใช้มันเป็นโลโก้สัญลักษณ์ของบาคาร์ดีในเวลาต่อมา “บาคาร์ดีรัม” ผลิตออกขายอย่างเป็นทางการในปี 1862 ฟาคุนโดจดกรรมสิทธิ์ “บาคาร์ดียีสต์” ที่เขาค้นพบไว้เป็นของบริษัท มันเป็นสูตรสำคัญที่ใช้ผลิตบาคาร์ดีรัมมาจนถึงปัจจุบัน

ธุรกิจไปได้สวยและเริ่มมีชื่อเสียงภายในเวลา 10 ปี บาคาร์ดีรัมสีขาวได้รับความนิยมไปทั่วคิวบาจนมีชื่อเรียกทั่วไปอีกอย่างว่า Cuban Style Rum (รัมสไตล์คิวบา) แล้วก็ถึงช่วงเวลาที่ทายาทรุ่น 2 เข้ามารับไม้ต่อ ลูกชายคนโตของฟาคุนโด คือ เอมิลิโอ บาคาร์ดี รับตำแหน่งประธานบริษัท ขณะที่ฟาคุนโดจูเนียร์ลูกชายคนรองรับสืบทอดสูตรการกลั่นจากพ่อ

แต่การเมืองที่ไม่สงบในคิวบาได้เป็นอุปสรรคใหญ่ที่ทำให้ธุรกิจที่กำลังเติบโตนี้แทบจะพังครืนลง ในช่วงปี 1868-1890 คิวบาทำสงครามต่อต้านสเปนเพื่อเรียกร้องอิสรภาพ เอมิลิโอถูกตั้งข้อสงสัยว่าสนับสนุนกลุ่มกบฏที่เคลื่อนไหวต่อต้านสเปนทำให้เขาถูกจับหลายครั้งและถูกเนรเทศ ฟาคุนโดจูเนียร์และโฮเซ่น้องชายอีกคนรวมทั้งน้องเขยพยายามประคับประคองธุรกิจให้ผ่านพ้นช่วงสงครามไปอย่างยากลำบาก

เมื่อสงครามนี้จบลงก็ได้เกิดสงครามระหว่างสเปนและอเมริกาขึ้นในคิวบาอีก แต่ชัยชนะของอเมริกาได้ช่วยให้ธุรกิจบาคาร์ดีกลับมาสดใสอีกครั้ง เพราะคนอเมริกันนิยมนำบาคาร์ดีรัมไปผสมเป็นค็อกเทลหลายสูตร เช่น ไดคีรี คิวบา ลิเบรย์ เมื่อสเปนแพ้ เอมิลิโอจึงได้กลับบ้านมาบริหารธุรกิจครอบครัวอีกครั้ง อีกทั้งได้รับแต่งตั้งเป็นนายกเทศมนตรีเมืองซานติอาโก เดอ คิวบา ด้วย


ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 บาคาร์ดีเป็นบริษัทแรกในคิวบาที่ก้าวไปในระดับอินเตอร์โดยเปิดโรงงานที่บาร์เซโลนาในสเปนเมื่อปี 1910 ตามด้วยนครนิวยอร์กในอเมริกาเมื่อปี 1915 แต่โรงงานที่นิวยอร์กต้องปิดตัวลงภายในเวลาไม่นานเพราะกฎหมายการห้ามสุรา (Prohibition) ของสหรัฐฯ ซึ่งทายาทรุ่นที่ 3 ของบาคาร์ดีแก้ปัญหานี้โดยออกโฆษณาเชิญชวนให้คนอเมริกันมาร่ำสุรา (บาคาร์ดี) ได้ที่คิวบาแทน

ต่อมาในช่วงยุค 30 บริษัทโฆษณาแบรนด์ไปสู่ต่างประเทศด้วยข้อความ “Cuba as the home of rum, and Bacardi as the king of rums” (ถิ่นกำเนิดเหล้ารัมคือคิวบา ราชาเหล้ารัมคือบาคาร์ดี) มีการเปิดสาขาใหม่ที่เม็กซิโก (1931) เปอร์โตริโก (1936) เมื่ออเมริกายกเลิกกฎหมายการห้ามสุราจึงได้มีการส่งผลิตภัณฑ์จากเปอร์โตริโกไปขายแบบปลอดภาษีในสหรัฐฯ

ขณะที่ทุกอย่างไปได้ดีก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 (1939-1945) ต่อด้วยปัญหาการเมืองในคิวบาอีกครั้ง ฟิเดล กัสโตร ร่วมด้วย เช เกบารา ทำการปฏิวัติคิวบา (1953-1959) เพื่อล้มล้างรัฐบาลเผด็จการ ทายาทรุ่นที่ 4 ของบาคาร์ดีให้การสนับสนุนทางการเงินแก่กลุ่มปฏิวัติ แต่เมื่อการปฏิวัติสำเร็จ แนวคิดล้มล้างทุนนิยมของเกบาราและความขัดแย้งกับกัสโตร ทำให้เหล่าธุรกิจใหญ่ซึ่งรวมถึงบาคาร์ดีเปลี่ยนจากผู้สนับสนุนมาเป็นฝ่ายต่อต้านกัสโตร

รัฐบาลของกัสโตรยึดทรัพย์ โรงเบียร์และอาคารบาคาร์ดีที่สร้างไว้อย่างหรูหราที่เมืองฮาวานาตกเป็นของรัฐบาลที่พยายามจะยึดเอา “บาคาร์ดียีสต์” มาด้วย แต่ทางครอบครัวได้ขนยีสต์ออกไปไว้ที่สาขาเปอร์โตริโกและเม็กซิโกตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุส่วนที่ย้ายไม่ทันก็ทำลายทิ้งจนหมด ด้านเครื่องหมายการค้าก็ได้มีจดไว้ในต่างประเทศทำให้แบรนด์บาคาร์ดีที่อยู่นอกคิวบายังเป็นกรรมสิทธิ์ของครอบครัวอยู่

ครอบครัวอพยพจากคิวบาสู่บาฮามาส แม้จะไม่เหลือทรัพย์สินในคิวบาแต่ยังมีรายได้จากสาขาอื่นๆ ในต่างประเทศทำให้บริษัทยังอยู่รอดได้และก้าวต่อไปด้วยการเปิดสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ที่แฮมิลตัน เบอร์มิวดา ทายาทรุ่นที่ 5 นำพาบริษัทรุดหน้าต่อไป บาคาร์ดีรัมก้าวขึ้นเป็นที่หนึ่งของเหล้ากลั่นพรีเมี่ยม จากนั้นก็ออกผลิตภัณฑ์บาคาร์ดี บรีซเซอร์ ในปี 1989

ขณะเดียวกัน รัฐบาลของคิวบาได้ผลิตเหล้ารัมออกมาขายแข่งกับบาคาร์ดีด้วยชื่อแบรนด์ฮาวานา คลับ ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ธุรกิจครอบครัวชาวคิวบาสร้างขึ้นและก็ถูกรัฐบาลยึดไปเหมือนกัน รัฐบาลกัสโตรจับมือกับบริษัท Pernod Ricard ผู้ผลิตเหล้าของฝรั่งเศสเพื่อส่งขายฮาวานา คลับไปทั่วโลก บาคาร์ดีได้แก้เกมด้วยการไปซื้อสูตรฮาวานา คลับจากตระกูลเจ้าของแบรนด์เดิม จากนั้นนำไปผลิตและขายด้วยชื่อแบรนด์ ฮาวานา คลับ เช่นเดียวกัน จนมีการฟ้องร้องแย่งสิทธิในการใช้ชื่อแบรนด์นี้กันไปมา


แม้ทุกวันนี้ บาคาร์ดีจะไม่มีโรงงานที่ผลิตในคิวบาแต่ครอบครัวก็ยังมุ่งมั่นที่จะพาบาคาร์ดีรัมกลับสู่บ้านเกิด เพราะให้ความสำคัญกับโรงเบียร์ที่บรรพบุรุษสร้างขึ้นด้วยน้ำพักน้ำแรง ในปี 1998 บาคาร์ดีได้เติมข้อความบนผลิตภัณฑ์ที่ใต้โลโก้ค้างคาวว่า “ก่อตั้งในซานดิเอโก เดอ คิวบา ปี 1862” แต่ข้อความดังกล่าวทำให้บาคาร์ดีถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า “ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดว่าบาคาร์ดีผลิตที่คิวบา”

หลังจากยุค 90 เป็นต้นมา ทายาทบาคาร์ดีรุ่นที่ 6 ได้เริ่มขยายธุรกิจออกไปโดยจับมือและควบรวมกิจการกับบริษัทผู้ผลิตเหล้าหลายแห่ง เช่น Martini & Rossi,Grey Goose, Dewar’s blended Scotch whisky ช่วยให้บริษัทใหญ่ขึ้นหลายเท่าและมีช่องทางจัดจำหน่ายข้ามประเทศที่แข็งแกร่ง

ปี 2005 ถึงปัจจุบัน ฟาคุนโด แอล บาคาร์ดี ทายาทรุ่นที่ 7 เดินหน้าขับเคลื่อนบริษัทบาคาร์ดีลิมิเต็ทที่มีพนักงานกว่า 6,000 คน โดยเน้นวัฒนธรรม 3F ได้แก่ Fearless (กล้าหาญ) Family (ครอบครัว) และ Founder (ผู้ก่อตั้ง) โดยเฉพาะเรื่องราวของผู้ก่อตั้งที่จะมักถูกหยิบยกมาเป็นตัวอย่างของ “ผู้ปฏิวัติวงการสุรา” เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้พนักงานคิดนอกกรอบอยู่เสมอ

ปัจจัย 3 ข้อนี้เป็นคีย์สำคัญที่ทำให้บาคาร์ดีอยู่มาได้ตั้งแต่วันที่ก่อตั้งจนถึงวันนี้ที่กำลังก้าวไปสู่ปีที่ 200

 

Share.